เปิดความเชื่อมโยง ยิม เลียก - เบน สมิธ - แตงไทย ปปง. ยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน ไขปริศนาตัวละครลับ เกี่ยวโยงเครือข่ายกัมพูชา
จากกรณีวันที่ 3 ธ.ค. 68 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวยึดอายัดทรัพย์ขบวนการสแกมเมอร์ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งหมด 3 เครือข่าย รวมมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่
1. เครือข่ายกลุ่มนายก๊ก อาน นักธุรกิจชาวกัมพูชา ซึ่งมีพฤติกรรมการใช้ “ม้า”และหลอกลวงประชาชน โดยเป็นเครือข่ายใหญ่มีศูนย์ปฏิบัติการในกัมพูชา มีการยึดอายัดไป 90 รายการ รวมมูลค่า 467 ล้านบาท
2. นายเฉิน จื้อ ประธานปรินซ์ กรุ๊ป ถูกดำเนินการในเรื่องการฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล และมีการยึดอายัดทรัพย์สิน 302 รายการ เป็นที่ดิน เงินสด สินค้าแบรนด์เนม รวมมูลค่า 373 ล้านบาท
3. น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ เครือข่ายที่เชื่อมโยงกลุ่มนายยิม เลียก และนายเบน สมิธ พบพฤติกรรมฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน มีการยึดอายัดทรัพย์ 9,279 ล้านบาท
...
ความเชื่อมโยง ยิม เลียก - เบน สมิธ - แตงไทย
พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยว่า ปฏิบัติการนี้ สืบเนื่องมาจากการร้องเรียนของประชาชน โดยเมื่อปี 2564 มีผู้เสียหายประมาณ 700 ราย ที่ถูกฉ้อโกงออนไลน์ จากทุกประเภทการหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นหลอกซื้อของออนไลน์ หลอกเล่นการพนัน หลอกทำงาน หลอกกู้ยืมเงินผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น
จากการไล่เส้นเงินของผู้เสียหายที่โอนเงินไปยังบัญชีม้าแต่ละทอด 1-5 แถว ข้อมูลที่สำคัญคือ บัญชีม้าแถวที่ 5 มี 2 บัญชี ที่เปิดกับ ธ.กรุงเทพ และ ธ.กสิกรไทย มีชื่อนายยิม เลียก เป็นผู้รับประโยชน์คนสุดท้าย โดย บัญชี ธ.กรุงเทพ มียอดธุรกรรมมากกว่า 3,000 ล้านบาท เกิดจากการโอน 300 กว่าครั้ง ส่วนบัญชีของ ธ.กสิกรไทย ที่มียอดมูลค่าความเสียหาย 154 ล้านบาท
พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และนำมาสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 42 คน โดยในจำนวนนี้มีหมายจับที่สำคัญคือ นายยิม เลียก และ นางวิรินยา ยิมจ์ ภรรยาคนไทย โดยตอนนี้จับกุมแล้ว 29 ราย ยังคงหลบหนี 13 ราย มี 3 รายที่หลบหนีอยู่นอกประเทศคือ ยิม เลียก และภรรยา และ “ม้า” ชาวกัมพูชาอีก 1 คน
อย่างไรก็ดี ในจำนวนหมายจับเหล่านี้ไม่มีชื่อของนายเบน สมิธ แต่พบว่ามีธุรกรรมที่มีความเกี่ยวข้องหรืออาจจะเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปปง. ในการดำเนินการตรวจสอบ และก็มีคำสั่งทางธุรกรรมที่ออกมาแล้ว
“ตอนนี้เราทำได้บางส่วน เพราะต้องแข่งกับเวลาเนื่องจากเอกสารมีเป็นจำนวนมาก เส้นเงินตอนนี้ที่พิสูจน์ทราบชัดคือคุณยิม เลียก และภรรยา เดิมทั้ง 2 บัญชีของยิม เลียก เป็นชื่อของเขาเอง แต่จากนั้นมีการฟอกเงิน ส่งต่อไปยังบัญชีที่เปิดคู่กับภรรยา ซึ่งมีการออกหมายจับแล้ว ในส่วนของบุคคลอื่นเป็นไปตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน”
พล.ต.ต.โสภณ เปิดเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่ดำเนินการอายัดและยึดทรัพย์สิน ตามคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ของกลางมูลค่ารวมกันทั้งหมด 10,157 ล้านบาท
นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า คดีนี้มีจุดเริ่มต้นคือ “ม้า” ที่ได้รับมอบอำนาจทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินฝากของธนาคาร ชื่อว่า น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ โดยในปี 2560-2565 มีการทำธุรกรรมรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิด เข้าสู่บัญชีกลุ่มนายยิม เลียก ภรรยา และนายเบน สมิธ รวมธุรกรรมมูลค่า 15,000 ล้านบาทเศษ
...
เมื่อไล่สายการตรวจสอบพบว่า กลุ่มบุคคลนี้มีการก่อตั้ง “บริษัทบังหน้า” หรือ เชลล์ คอมพานี (shell company) ถือครองทรัพย์สินและเงินที่ได้จากการกระทำความผิดและสแกมเมอร์ต่าง ๆ มาฟอก ซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ ทาง ปปง. จึงประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดเป็นปฏิบัติการยึดอายัดทรัพย์สินในรายคดีนี้ ทั้งที่ดิน ห้องชุด หลักทรัพย์ (หุ้น) ที่ถือครองผ่านบริษัทหลักทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคาร รถยนต์หรู เรือยอชต์
เลขาธิการ ปปง. กล่าวเสริมว่า หุ้นที่อายัดไว้มีมูลค่ารวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาท (มูลค่า ณ วันที่ 28 พ.ย.) โดยมีหลายตัวด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นหุ้น “บริษัทแห่งหนึ่ง” ซึ่งเหล่านี้เป็นทรัพย์ที่ ปปง. ตรวจสอบแล้วว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและจะถูกอายัดไว้ 90 วัน โดยที่เจ้าของหุ้นยังมีสิทธิพิสูจน์ว่าไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน หากพิสูจน์ได้ ก็สามารถเพิกถอนการอายัดได้
ยิม เลียก - เบน สมิธ - แตงไทย คือใคร?
นายยิม เลียก เป็นนักธุรกิจชาวกัมพูชา ลูกชายของอดีตรองนายกฯ กัมพูชา โดยสมรสกับไฮโซสาวชาวไทย มีตำแหน่งเป็น ประธาน B.I.C กรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจหลายด้านทั้งอสังหาริมทรัพย์, พลังงาน รวมถึงธนาคาร B.I.C ซึ่งก่อนหน้านี้ มีชื่อของนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมช.คลัง ในรัฐบาลนายอนุทินปรากฏเป็นที่ปรึกษา ซึ่งนายวรภัคได้ออกมาชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์และได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ โดยยอมรับว่าเคยพบกับนายยิม เลียก จริงแต่ไม่เคยเป็นกรรมการที่ปรึกษาของธนาคาร B.I.C ไม่เคยรับเงินและเป็นที่ปรึกษาใดๆ แต่ถูกนำรูปไปใส่เป็นที่ปรึกษา โดยที่ตนไม่รู้มาก่อน
...
ขณะที่นายเบน สมิธ หรือ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เป็นนักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ สัญชาติกัมพูชา อดีตที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน ซึ่ง ทางนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน เคยหยิบยกชื่อขึ้นมาอภิปรายในวาระแถลงนโยบายของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน และข้อมูลจากนายทอม ไรท์ นักข่าวสืบสวนระดับโลกที่เคยเปิดโปงคดี 1MDB ของมาเลเซีย กล่าวหาว่านายเบน สมิธ มีฐานะเป็น “มือประสานงาน” เชื่อมโยงกลุ่มทุนเทา องค์กรอาชญากรรม กับกลุ่มผู้มีอำนาจในภูมิภาค อย่างไรก็ดี นายเบน สมิธ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ และให้ทนายดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ โรม และ ทอม ไรต์
ทั้ง 2 คนอยู่ใน 43 รายชื่อที่สภาฯ สหรัฐฯ เสนอให้คว่ำบาตรเมื่อเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์และการฟอกเงินในกัมพูชา โดยนายยิม เลียก ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการให้กลุ่มสแกมเมอร์ฟอกเงินผ่านธนาคาร B.I.C
...
ด้าน น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ เคยมีชื่อปรากฏบนหน้าข่าวเมื่อปี 2556 โดยเป็นผู้รับมอบอำนาจ จากบริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการกองปราบปราม ว่าถูกก่อเหตุปล้นเรือสถาพรวัฒนา ซึ่งขนธนบัตรสกุลดอลลาร์สิงคโปร์และริงกิตมาเลเซีย คิดเป็นเงินไทยเกือบ 120 ล้านบาท ขณะลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้เกาะโลซิน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2556
บริษัทดังกล่าว จดทะเบียนเมื่อ 30 มิ.ย. 2553 ประกอบกิจการรับแลกเหรียญเงินตราต่างประเทศ โดยมีชื่อของ น.ส.แตงไทย ถือหุ้นร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่นซึ่งมีนามสกุลเดียวกับ “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” นักธุรกิจชื่อดังของภาคใต้ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินค้าน้ำมันเถื่อนเมื่อปี 2564 โดยในการแถลงข่าวมีผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการขยายผลไปในส่วนนี้หรือไม่ ซึ่งทาง เลขาธิการ ปปง.ยืนยันว่าจะมีการตรวจสอบขยายผลในทุกมิติ ถ้าตรวจพบพฤติการณ์ว่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบหนีศุลกากร ก็จะขยายผลต่อไป
ขณะที่นายอนุทิน นายกฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ ที่ยอมรับว่ารู้จักกับนายเบน สมิธ ว่า เรื่องการรู้จักกันก็สามารถรู้จักกันได้ แต่นโยบายมอบหมายให้กับผู้ปฏิบัติคือหากเชื่อมโยงไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ตามหลักฐาน ตามการสอบสวนอย่างเคร่งครัด ไม่มีการละเว้น