เสียงจากผู้ป่วยจิตเวช แบกค่าใช้จ่ายยาครั้งละหมื่นบาท ชี้รัฐช่วยเหลือ ปลดล็อกยาคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ 

จากกรณีทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ติดตามประเด็นที่หมอจิตเวชรายหนึ่ง เปิดเผยถึงราคายาที่อยู่ในบัญชียาหลัก ที่ทำการผลิตโดยหน่วยงานรัฐของไทย แต่มีราคาขายต่อเม็ดที่แพงกว่าราคายาของเอกชน และนำสู่การเปิดเผยสกู๊ปข่าว ยาผู้ป่วยจิตเวชแพง หมอร้องหาต้นตอปลดล็อก นั้น

ทีมข่าวได้สอบถามผู้ป่วยจิตเวชในประเด็นดังกล่าว โดยหลายคนบอกว่า “ยาจิตเวชแพง” ด้วยปัจจัยที่แตกต่างกัน ขณะที่ผู้ป่วยบางส่วน “กินยาในบัญชียาหลัก แล้วไม่หาย” ส่งผลให้ต้องใช้ยานอกบัญชี ที่มีค่าใช้จ่ายส่วนต่างนอกเหนือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทำให้บางครั้งจำเป็นต้องหยุดยาเอง หรือต้องกู้หนี้ยืมสิน เนื่องจากมีเงินรักษาตัวไม่เพียงพอ

สิ่งนี้จึงเป็นกระจกสะท้อนถึงโครงสร้างราคายาของผู้ป่วยจิตเวช ที่ส่วนใหญ่มักมีปัญหาในด้านการเงิน และยังเป็นการซ้ำเติมให้เกิดความเครียดเรื้อรังตามมา

...


ชีวิตกดดัน นำสู่จิตเวช


น้ำเสียงที่ตอบได้อย่างฉะฉาน แม้เป็นการสัมภาษณ์ผ่านระบบวิดีโอคอล คุณศศิวิมล ชัยบัณฑิต อายุ 55 ปี เปิดเผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ตนได้เดินทางไปรักษากับแพทย์หลายแห่ง ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิกจิตเวช รวมถึงโรงพยาบาลจิตเวชของรัฐ โดยมีการร้องขอกับแพทย์ว่า “ขอยา ที่กินแล้วไม่อ้วน” ด้วยเงื่อนไขนี้ ทำให้ต้องมีการจ่ายยานอกบัญชี จนต้องแบกค่ารักษาสูงลิ่วครั้งละหลายหมื่นบาทต่อครั้ง


คุณศศิวิมล เล่าว่า เธอมีอาการแพนิกมาตั้งแต่จำความได้ เนื่องมาจากปัญหาภายในครอบครัวที่ค่อนข้างเข้มงวด ทำให้รู้สึกกลัว และไม่มีความสุข จนเกิดความคิดว่าอยากออกจากบ้านไปสร้างครอบครัวของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดัน แต่เมื่อออกมาใช้ชีวิตจริง ครอบครัวยังคงคอยช่วยเหลือในทุกด้าน จนทำให้เธอรู้สึกว่า “ครอบครัวเหมือนเป็นเจ้าชีวิต”


เธอเริ่มพบจิตแพทย์ครั้งแรกในช่วงใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากอารมณ์แปรปรวนและสามีเห็นว่าเธอ “ไม่ปกติ” แต่เมื่อไปพบแพทย์ กลับได้รับคำอธิบายว่าอาการทั้งหมดเป็นผลจากภาวะก่อนหมดประจำเดือน 


 คุณศศิวิมลกลับรู้สึกหวาดกลัวครอบครัวมากขึ้น จึงเริ่มเข้ารับการรักษาที่คลินิกจิตเวชและถูกส่งต่อให้กับนักบำบัด แต่หลังจากเข้าบำบัดเพียง 3-4 ครั้ง เธอกลับรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น เพราะรู้สึกการบำบัดในครั้งนี้ เป็นการไปขุดคุ้ยบาดแผลในอดีต จึงตัดสินใจหยุดการรักษา


...


ยาแพงกว่าที่คิด…ชีวิตหนักกว่าเดิม?


ต่อมา คุณศศิวิมลไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแบบพรีเมียม รับยาเป็นเวลาราว 1 ปี เฉลี่ยเดือนละ 3,000–4,000 บาท แต่ยาที่ได้รับกลับทำให้เธอน้ำหนักขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กังวลที่สุด ทำให้ต้องหยุดยาอีกครั้ง และเมื่อตัดสินใจหยุดยา อาการก็แย่ลงอย่างหนักจนถึงขั้นอยากทำร้ายตัวเอง จึงโทรปรึกษานักจิตบำบัดออนไลน์ และได้รับคำแนะนำให้รีบไปห้องฉุกเฉิน


...

จากการสอบถามคนรอบข้าง เธอกลับพบว่าไม่มีใครต้องจ่ายค่ายารักษาแพงเท่าเธอ ทำให้เกิดความสงสัยว่าตนเองอาจ “ป่วยหนักกว่า” คนอื่นหรือไม่ เพราะหลายคนรักษาในโรงพยาบาลรัฐด้วยสิทธิบัตรทองซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเพียงครั้งละ 200–300 บาทเท่านั้น


หลังจากนั้น คุณศศิวิมล จึงตัดสินใจไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว โดยทางโรงพยาบาลสอบถามว่าจะใช้สิทธิบัตรทองหรือไม่ เธอปฏิเสธเพราะเคยได้ยินว่าค่ายาถูก แต่เมื่อเริ่มการรักษาจริงกลับต้องจ่ายค่ายาเดือนละถึง 8,000 บาท ทำให้ทนได้เพียง 4 เดือนก่อนหยุดยาอีกครั้ง


“ถ้าต้องกินยาเดือนละ 8,000 บาทไปตลอดชีวิต คิดว่าไม่น่าไหว ไม่มีใครไหว ต่อให้รวยยังไงก็ไม่มีทางไหว”


...

คุณศศิวิมล เล่าว่า หลังจากหยุดยา อาการก็ทรุดลงอีกครั้ง จึงไปรักษาที่คลินิกจิตเวช แต่บังเอิญว่าแพทย์เป็นคนเดียวกับโรงพยาบาลก่อนหน้า ทำให้ค่ายาต่างกันเพียง 500–1,000 บาท เธอรักษาได้เพียง 2 รอบก็ต้องหยุด เพราะสู้กับค่าใช้จ่ายไม่ไหว ปัจจุบันเธอกลับมารักษาที่โรงพยาบาลรัฐแบบพรีเมียมอีกครั้ง เฉลี่ยเดือนละ 3,000 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นยานอกระบบ


คุณศศิวิมล ชัยบัณฑิต
คุณศศิวิมล ชัยบัณฑิต


“อยากให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ ควรใช้มาตรฐานยาที่ดีกับผู้ป่วยจิตเวช อย่าใช้ยาที่ทำให้มีเอฟเฟกต์ทางด้านอื่นๆ สมมติคุณเครียดแล้วคุณไปหาหมอ หนึ่งคือเสียเงิน สองคือกินยาแล้วคุณอ้วน ถ้ากินยาแล้วมันมีเอฟเฟกต์ เราก็ไม่อยากกิน พอไม่อยากกินก็ต้องหยุดยา โรคมันก็ยิ่งรุมเร้า”


คุณศศิวิมล เล่าต่อว่า แม้ปัจจุบันค่าใช้จ่ายจะลดลงเหลือเดือนละประมาณ 3,000 บาท แต่ทุกครั้งที่ถึงวันนัดพบจิตแพทย์ทุก 3 เดือน เธอต้องจ่ายค่ายารวม 8,000–9,000 บาท ทำให้ชีวิตต้องรัดเข็มขัดลง เช่น ลดค่าอาหารสัตว์เลี้ยง ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อะไรที่เซฟได้ก็ต้องเซฟ



“เคยคุยกับคุณหมอว่าทำไมยาจิตเวชถึงแพง คุณหมอให้มาคำตอบเดียวว่า คือยานอกระบบ แต่พอถามว่าทำไมคุณหมอไม่อยากจ่ายยาในระบบ คุณหมอกลับตอบว่า ก็คุณบอกเองว่าคุณไม่อยากอ้วน เราก็ไม่รู้จะเถียงหมอยังไงต่อ”


เมื่อทีมข่าวถามว่า หากนำยานอกระบบเข้าสู่ในระบบเพื่อให้ราคาถูกลง จะเป็นทางออกหรือไม่ คุณศศิวิมลตอบว่า ใช่ค่ะ ถ้ารัฐทำได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ


“อยากให้รัฐช่วยเรื่องปรับปรุงคุณภาพยา ควรนำยาที่เอฟเฟกต์น้อยที่สุดเข้ามาอยู่ในระบบ โดยเป็นยาที่รัฐสามารถช่วยเหลือเรื่องราคาได้ ไม่ใช่พอไม่มีเงิน คุณก็จ่ายยาอะไรไม่รู้มาให้ผู้ป่วย ส่วนคนมีเงิน ก็กินยาที่ไม่มีเอฟเฟกต์ มันก็ไม่ถูก”