ไทยศูนย์กลางส่งต่อเหยื่อสแกมเมอร์ “บอสจีน” ฝังตัวค้าชีวิต ขายต่อฝั่งเมียนมา เครือข่ายช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ฯ วิจารณ์รัฐบาลไทยปราบแต่ปลายแถวบัญชีม้า เปิดข้อมูลลับ “หม่อง ชิตตู่” ส่งส่วยข้ามแม่น้ำเมย ให้ราชการ-นักการเมืองไทย เดือนละ 35 ล้านบาท

1,598 คน คือจำนวนชาวต่างชาติที่หนีออกมาจากแหล่งสแกมเมอร์ เคเคปาร์ค จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา และข้ามแม่น้ำเมย มายังฝั่่งประเทศไทย หลังทหารเมียนมา เข้าปราบปรามตั้งแต่ 19 ตุลาคม และเริ่มวางระเบิดทำลายตึกของแก๊งสแกมเมอร์ ตั้งแต่ 23 ตุลาคมเป็นต้นมา


ชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้ามา ถูกดำเนินคดีหลบหนีเข้าเมือง หากมีเงินจ่ายค่าปรับ 4,000 บาท จะถูกผลักดันออกนอกประเทศทันที แต่ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ จะถูกขังแทนค่าปรับเป็นเวลา 8 วัน จากนั้นก็ผลักดันออกนอกประเทศ

นอกจากได้ค่าปรับ หรือได้ขัง และเร่งเนรเทศชาวต่างชาติกลับประเทศแล้ว ทางการไทยไม่ได้ข้อมูลอะไรจากคนต่างชาติเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งเหยื่อที่ถูกหลอกมาค้ามนุษย์ และบางส่วนอาจเป็นสแกมเมอร์ตัวจริง ที่ใช้ช่วงจังหวะชุลมุนปะปนมากับผู้เสียหาย

...

ทีมข่าวสืบสวน SEE TRUE ไทยรัฐทีวี สัมภาษณ์พิเศษ “เจ กฤติญา” ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์ช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ชาวไทย ออกมาจากเมืองเลาก์ก่าย ในเขตปกครองตนเองโกก้าง ประเทศเมียนมา ติดกับรัฐฉาน เมื่อปี 2566 มาแล้ว 

“เจ กฤติญา” ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
“เจ กฤติญา” ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์


กระทั่งบรรดาอาชญากรชาวจีน โยกย้ายเข้ามาตั้งเมืองสแกมเมอร์ริมแม่น้ำเมย ฝั่งจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภายใต้อิทธพลของทหารกะเหรี่ยง BGF และทหารกะเหรี่ยง DKBA 

นับจากนั้น “เจ กฤติญา” ก็ได้รับข้อความขอความช่วยเหลือ ทั้งจากญาติเหยื่อค้ามนุษย์ และเหยื่อค้ามนุษย์จากเมืองสแกมเมอร์เหล่านั้น ซึ่งจนถึงวันนี้ เธอมีส่วนในการช่วยเหลือเหยื่อออกมาจากแหล่งสแกมเมอร์ได้นับพันคนแล้ว 

“เจ กฤติญา” บอกว่า เหยื่อค้ามนุษย์ที่ถูกช่วยเหลือออกมาจำนวนมาก มีข้อมูลการถูกหลอกไปขายยังแหล่งสแกมเมอร์ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกหลอกว่ามาทำงานประเทศไทย นั่งเครื่องบินมาลงสนามบินในกรุงเทพฯ ก่อนมีคนมารับที่สนามบิน ตรงไปอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และพาข้ามแม่น้ำเมยไปยังฝั่งเมียนมา 

พวกเขาถูกบังคับเซ็นสัญญาขายให้แก๊งสแกมเมอร์ บังคับทำงานหลอกลวงออนไลน์ หากไม่ทำก็ถูกทำร้าย ทรมาน ซึ่งพวกเขารู้ด้วยว่าบรรดาบอสจีน ผู้จัดการ ชื่ออะไร หน้าตาอย่างไร และส่วนใหญ่คนเหล่านี้ ข้ามไปมาระหว่างไทยกับเมียนมา


แต่ทางการไทย กลับไม่ได้ซักถามข้อมูลจากเหยื่อเหล่านี้ เพื่อนำข้อมูลไปสืบสวนขยายผลถึงขบวนการนำพาในฝั่งไทย และจับกุมบรรดาชาวจีนเจ้าของบริษัทสแกมเมอร์ รวมถึงระดับผู้จัดการที่ข้ามไปข้ามมาระหว่างไทยกับเมียนมา 

“ถ้าเราคิดว่าสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ มีความสำคัญ เราต้องอยากได้ข้อมูลเพื่อสืบสวนสอบสวน ความจริงใจของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นว่า ต้องการข้อมูลเเหล่านี้หรือเปล่า ก็ชัดเจนว่าไม่ต้องการข้อมูล นโยบายเนรเทศ การผลักดันให้เร็วที่สุด ถ้าคนไทยฟัง อาจคิดว่าผลักดันสแกมเมอร์ ไม่ต้องเสียงบประมาณดูแล แต่ในมุมลึกๆ แล้ว การที่เราให้เขาอยู่ในเมืองไทยชั่วคราว เพื่อที่จะสกัดข้อมูลจากเขา จะทำให้เราได้ข้อมูลปราบปรามขบวนการเหล่านี้ไปจนถึงคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ซึ่งเราไปไม่เคยถึงตรงนั้นเลย” เจ กฤติญา อธิบายถึงความสำคัญในการดึงข้อมูลจากเหยื่อค้ามนุษย์ แทนที่จะรีบผลักดัน หรือเนรเทศออกไป

...

ย้อนกลับไปช่วงต้นปี ก่อนที่รัฐบาลไทยเริ่มตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต และน้ำมันเชื้อเพลง กดดันแก๊งสแกมเมอร์ในเมียวดี ไทยเคยมีกระบวนการคัดแยกเหยื่อว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หรือไม่ เพื่อส่งต่อกลไกระดับชาติ หรือที่เรียกว่า NRM


แต่ว่าหลังจากทหารกะเหรี่ยง DKBA ส่งชาวต่างชาติ 260 คน ข้ามแม่นำ้เมย มายังไทย ที่บ้านช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก รัฐบาลในตอนนั้นก็ห้ามไม่ให้ส่งคนข้ามมาอีก ให้นำผู้เสียหายไว้ที่เมียวดีก่อน เพื่อรอส่งกลับประเทศ โดยข้ามมาขึ้นเครื่องบินที่ฝั่งไทย แต่ว่าไทย กลับไม่ได้เก็บข้อมูลเพื่อสืบสวนขยายผล นำไปสู่การจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 

แม้แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ทำแบบเดียวกัน ไม่ให้มีการส่งเหยื่อข้ามมาฝั่งไทย แต่ที่เห็นข้ามมาช่วงที่ทหารพม่าปราบปรามที่เคเคปาร์ค เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ซึ่งทางการไทยก็เร่งผลักดันออกให้เร็วที่สุด ทำให้เป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยไม่มีกลไก NRM

“เมื่อไม่มีกระบวนการอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร ไทยไม่ต้องการข้อมูลหรืออย่างไร หรือว่าไทยไม่ต้องการจับกุมขบวนการสแกมเมอร์เหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดปกติ แต่สังคมไทยอาจไม่สังเกต เพราะว่าสำหรับเรื่องนี้แล้วมันอาจอยู่ในเชิงลึก คนไม่ได้มาสนใจ เราบอกว่าจะปราบปรามสแกมเมอร์ แต่ไม่พยายามได้มาซึ่งข้อมูล ไม่มีข้อมูล จะปราบได้อย่างไร มันง่ายที่สุดคือเอาข้อมูลจากผู้เสียหาย เป็นสารตั้งต้นเพื่อไปขยายผลต่อ แต่ไม่พยายามอยากได้ข้อมูล มันก็น่าสงสัย ข้อมูลมีแม้กระทั่งผู้ที่ขับรถไปรับเขา โรงแรมที่เขาถูกพาไปพัก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ นำไปจัดการเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก”

...

เจ กฤติญา สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้น และเล่าตัวอย่างส่ิงที่เธอได้ข้อมูลจากผู้เสียหายที่ขอความช่วยเหลือว่า คนที่ขอความช่วยเหลือ ส่งรูปบอสจีนมาให้ดู ดังนั้น ถ้าเอาข้อมูลจากผู้เสียหาย ก็จะจับบอสจีนได้ เพราะคนเหล่านี้ผ่านเข้าออกประเทศไทย และเหยื่อคัดกรองเบื้องต้น 97 เปอร์เซ็นต์ ถูกหลอกมาทางประเทศไทย

ถ้าเป็นแบบนี้ ก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่มีผู้เสียหายชาวต่างชาตินับพันคน หนีข้ามแม่น้ำเมย มายังฝั่งไทย นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา แต่รัฐบาลไทยไม่ได้ดึงข้อมูลจากคนเหล่านี้ มาสืบสวนขยายผลต่อ ทั้งๆ ที่บรรดาอาชญากร ใช้ไทยเป็นทางผ่าน เข้าออกเมืองแม่สอดเป็นว่าเล่น


ถ้าเทียบกับสหรัฐฯ เกาหลีใต้ สิงคโปร์แล้ว ชาติเหล่านี้ มุ่งมั่นที่จะปราบปรามสแกมเมอร์อย่างจริงจัง มีวิธีการสืบสวน จนนำไปสู่การคว่ำบาตร ยึดทรัพย์ ของบรรดาอาชญากรสแกมเมอร์ ตัวใหญ่ๆ ได้ ส่วนไทยจับได้ก็แค่บัญชีม้าปลายแถวเท่านั้น

หรือที่ไม่ต้องการข้อมูลของพวกสแกมเมอร์เพราะกลัวจะได้ข้อมูลเชิงลึกเกินไป เนื่องจากในฝั่งไทยนั้น ก็มีคนจำนวนไม่น้อยได้ประโยชน์จากเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ด้วย แหล่งข่าวของ SEE TRUE ซึ่งฝังตัวเก็บข้อมูลแก๊งสแกมเมอร์ในฝั่งเมียนมา ระบุว่า พ.อ.หม่อง ชิต ตู่ ผู้นำทหารกะเหรี่ยง BGF ซึ่งดูแลสแกมเมอร์เหล่านี้อยู่ ได้ส่งส่วยข้ามแม่น้ำเมย มาให้ข้าราชการ นักการเมือง ในฝั่งไทย เดือนละไม่น้อยกว่า 35 ล้านบาท

...