มาตรการรัฐล่าช้า น้ำท่วมหาดใหญ่ แผลลึกบอบช้ำ มหันตภัยแลกด้วยชีวิต นักวิชาการภัยพิบัติ ชี้ระบบบังคับบัญชาไม่ทำงาน ทุกระดับไม่ตื่นตัวต่อข้อมูลที่มีอยู่
ท่ามกลางความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ได้เผยให้เห็นรอยปริร้าวของระบบจัดการภัยพิบัติไทยอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับชาติ แม้สัญญาณเตือนจะเริ่มดังขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 แต่การสั่งการกลับล่าช้า จนประชาชนต้องติดอยู่ในกระแสน้ำระดับคอโดยไร้ทางหนี ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน เพราะระดับน้ำที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เป็นไปอย่างจำกัด
แม้มีข้อมูลเตือนภัยล่วงหน้า แต่การจัดการและการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายระดับเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการดำเนินมาตรการอย่างทันเวลา เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติ แต่สะท้อนถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอน เพื่อปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน และยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินในอนาคต
...
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ รองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เผยถึงเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ในครั้งนี้ ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ สะท้อนความล้มเหลวของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับล่าง ระดับกลาง ไปจนถึงระดับสูงสุด ซึ่งล้วนมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ในระดับล่าง นายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ประชาชนเลือกเข้ามา ต้องรับสถานการณ์อย่างหนัก เพราะความเสียหายรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการในพื้นที่และบทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นที่อาจไม่เพียงพอต่อสถานการณ์จริง
สำหรับระดับกลาง ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งตามกฎหมายเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ รศ.ดร.เสรี ตั้งข้อสังเกตว่า อบจ. และผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งสองฝ่ายมีอุปกรณ์และกำลังมากกว่าเทศบาล แต่กลับไม่ลงมาเป็นผู้นำแก้ปัญหา ปล่อยให้นายกเทศมนตรีรับภาระเพียงลำพัง ทั้งที่มีประกาศเตือนภัยล่วงหน้า และรู้ชัดว่าสถานการณ์ในพื้นที่เทศบาลไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ ระดับจังหวัดยังมีกลไกคณะกรรมการประเมินสถานการณ์น้ำอยู่แล้ว ควรรับรู้ข้อมูลและความเสี่ยงมากกว่าระดับเทศบาล แต่กลับไม่สั่งการ หรือเข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในระดับสูงสุด ทั้งกระทรวงมหาดไทย และกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ และเครือข่ายกู้ภัยที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ย่อมต้องทราบว่าผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต รศ.ดร.เสรี มองว่า หน่วยงานกลางควรสั่งการจังหวัดและเตรียมอพยพประชาชนอย่างทันท่วงที เพราะจากไทม์ไลน์พบว่ามีช่วงเวลาเพียงพอในการอพยพ แต่ไม่มีการสั่งการลงมาอย่างชัดเจน
...
ความล้มเหลวนี้ รศ.ดร.เสรี ย้ำว่าไม่ใช่ความผิดของบุคคลใดคนหนึ่ง แต่สะท้อนว่า “องคาพยพทั้งหมดพังพร้อมกัน” เพราะระบบบังคับบัญชาไม่ทำงาน และทุกระดับไม่ตื่นตัวต่อข้อมูลที่มีอยู่แล้ว จนนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ประชาชนตระหนักถึงการเลือกผู้บริหารทุกระดับ เพราะผลลัพธ์สุดท้ายกระทบต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง
...
น้ำท่วมหาดใหญ่ บทเรียนราคาแพงจากการสั่งอพยพล่าช้า
เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ รศ.ดร.เสรี เผยว่า เป็นการสะท้อนชัดถึงความล่าช้าในการเตือนภัย และการสั่งอพยพ จากข้อมูลสถานการณ์ในพื้นที่ ควรมีการอพยพประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568แต่กลับมีการประกาศอพยพในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับน้ำท่วมสูงถึงระดับคอแล้ว ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ได้ และผู้บัญชาการเหตุการณ์ในจังหวัดย่อมต้องรู้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่วิกฤตขนาดไหน และรู้ว่าการอพยพในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 “เป็นไปไม่ได้” เนื่องจากน้ำเข้าท่วมอย่างรวดเร็ว หากจะประกาศอพยพก็ต้องมีแผนรองรับว่าจะช่วยเหลือประชาชนออกมาได้จริง ทั้งในด้านเรือ อุปกรณ์ และกำลังเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ออกประกาศที่ไม่มีทางปฏิบัติได้
...
สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้รับทราบข้อมูลแล้วว่าน้ำกำลังจะมาเพิ่มอีก 1.5–2 เมตร หากรับมือไม่ไหว ควรประสานทันทีไปยังนายกรัฐมนตรีหรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อส่งกำลังสนับสนุนลงพื้นที่โดยด่วน แต่กลับไม่มีการเตรียมการรองรับใด ๆ ทั้งการอพยพและการคุ้มครองชีวิตประชาชน ทำให้ต้อง “ยืนรอรับสถานการณ์” โดยไม่มีทางเลือก หากสามารถอพยพได้ทัน ก็จะไม่เกิดความสูญเสียเช่นนี้ แต่เมื่อประชาชนอพยพไม่ได้และไม่มีมาตรการรองรับ จึงนำไปสู่การเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในคืนวันที่ 24 ต่อเนื่องถึงเช้าตรู่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568
เหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “การจัดการและการควบคุมสถานการณ์ของผู้รับผิดชอบในแต่ละระดับ” โดยเมื่อพิจารณาจากไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ทั้งหมด จะเห็นชัดว่ามีช่องว่างสำคัญในขั้นตอนบังคับบัญชาและการตัดสินใจ ซึ่งควรเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ
แผนฟื้นฟูระยะเร่งด่วน-ระยะยาว
รศ .ดร.เสรี เผยว่า มาตรการการดูแลหลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเดินหน้ามาตรการระยะสั้นทันที เพื่อให้เมืองกลับสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด
ในช่วงเร่งด่วน ต้องดูแลสุขภาพประชาชน เคลียร์เส้นทางคมนาคมให้เดินทางได้ และฟื้นฟูบริการสาธารณะในพื้นที่ที่ยังมีผลกระทบ รวมถึงเร่งจัดเก็บขยะและสิ่งปฏิกูลเพื่อให้สภาพแวดล้อมกลับมาปลอดภัย หลังประชาชนได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ต่อมาคือการสำรวจความเสียหาย โดยส่งทีมลงพื้นที่ประเมินบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด เพื่อกำหนดการช่วยเหลือให้เหมาะสม ขณะที่โครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานที่ชำรุด ควรสำรวจและประเมินสภาพให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน นับเป็นส่วนของแผนฟื้นฟูระยะสั้น
สำหรับแผนระยะยาว เน้นการฟื้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อยและ SME เช่น ตลาดกิมหยง หากยังไม่พร้อมเปิด รัฐควรจัดพื้นที่ตลาดชั่วคราวที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ผู้ค้ากลับมาค้าขายได้อย่างรวดเร็ว กระตุ้นการจับจ่ายและการท่องเที่ยวในพื้นที่ หากรัฐจัดระบบสนับสนุนอย่างเหมาะสม ผู้คนจะกลับมาอุดหนุน ทำให้เมืองฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
“เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเรื่องของรัฐบาล หรือผู้นำท้องถิ่นเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคน เราต้องอยู่กับหาดใหญ่ให้ได้ หาดใหญ่มีผู้มีความรู้ ความสามารถ และภูมิปัญญา แก้ไขสถานการณ์ได้แน่ แต่เราอย่าปล่อยให้ผู้นำ หรือผู้นำท้องถิ่นในจังหวัด ทำโดยลำพัง”