สกสว.ผนึกกำลังจังหวัดเชียงราย กางแผนสู้ภัยพิบัติน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-น้ำปนเปื้อน เสริมความแข็งแรงอาคาร พัฒนาระบบเตือนภัย เซนเซอร์ตรวจจับ ลดความสูญเสีย
จากกรณี "น้ำท่วมเชียงราย" ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 54 ปี เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร บ้านเรือนได้รับความเสียหายกว่า 1,700 กว่าครัวเรือน
สถานการณ์ของจังหวัดเชียงรายในตอนนั้น เรียกได้ว่าเข้าขั้น “วิกฤติ” ชาวบ้านบางส่วนบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นน้ำท่วมใหญ่ในรอบหลายสิบปี บางพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมกลับต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าหลายอย่างเปลี่ยนไปยากเกินจะคาดเดา
นอกเหนือจากสถานการณ์น้ำท่วมแล้วนั้น จังหวัดเชียงรายก็เผชิญปัญหา “แผ่นดินไหว” บ่อยครั้งเช่นกัน เนื่องด้วยลักษณะทางภูมิประเทศอยู่ติดพื้นที่ชายแดนของประเทศเมียนมา ที่ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) รอยเลื่อนมีพลังขนาดใหญ่ ความยาวกว่า 1,200 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังอยู่บริเวณรอยต่อของ แผ่นเปลือกโลกอินเดียและแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย ซึ่งมีการเคลื่อนไหวและสะสมพลังงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อเมียนมามีการเกิดแผ่นดินไหว จังหวัดเชียงรายจะได้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเช่นกัน
รวมถึงปัญหาล่าสุดอย่าง "สารพิษปนเปื้อน" ในแม่น้ำกก ที่ปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่ว จากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชน
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนเพื่อเร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ปัญหา เพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดีขึ้น
...
แพ็กเกจวาระแห่งชาติสู้ 3 ภัยพิบัติ
วันที่ 9 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำโดย ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ร่วมกับ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
จัดประชุมและแถลงข่าวชี้แจงเรื่องทิศทางการใช้ “ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” (ววน.) เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างบูรณาการ โดยมุ่งเน้นแพ็กเกจวาระแห่งชาติ ได้แก่ การแก้ปัญหาน้ำท่วมและการสร้างองค์ความรู้ด้านแผ่นดินไหว พร้อมผลักดันให้เชียงรายเป็นต้นแบบการจัดการภัยพิบัติด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยี
สกสว. รับบท “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมระบบ ววน.
ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวย้ำถึงบทบาทหลักของ สกสว. ว่าเป็น “โซ่ข้อกลาง” ที่สำคัญในการขับเคลื่อนระบบ ววน. จะต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ เสริมอาวุธให้กับประชาชน และช่วยกันเป็นพี่เลี้ยงให้คนที่อยู่หน้างานเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ปัญหา รับมือภัยพิบัติ สร้างทักษะที่จำเป็นให้ทุกภาคส่วนและประชาชนมีความพร้อมและปลอดภัยจากภัยพิบัติ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดจากระบบ ววน. สู่การปฏิบัติของจังหวัดเชียงรายต่อไป โดยมีปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง
“สกสว.ได้หารือร่วมกับจังหวัดเชียงรายและภาคส่วนต่าง ๆ ถึงข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการทำงานร่วมกัน โดยมี สกสว. ในฐานะเลขานุการของกองทุน ววน. จะทำหน้าที่เชื่อมโยงหน่วยนโยบายและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ พร้อมนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์
นอกจากนี้จะขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการโดยกำหนดทิศทางและนโยบายของกองทุน ววน. รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติการกลางแบบบูรณาการ (One Plan One Map) ประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยตั้งงบประมาณเพื่อการรับมือภัยพิบัติทั้งการสร้างองค์ความรู้และหน้างานไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทต่อปี เพื่อป้องกันการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย”
แก้ปัญหา “น้ำท่วม-น้ำปนเปื้อน” เชียงราย
นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าฯ เชียงราย เผยว่า จังหวัดเชียงรายประสบปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ค่อนข้างมาก ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว และสารปนเปื้อนในลำน้ำต่าง ๆ ซึ่งแผนเตรียมการป้องกันที่ผ่านมายังไม่สมบูรณ์
คณะวิจัยจึงนำประเด็นเหล่านี้ไปศึกษาวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการของเชียงรายและขยายสู่ระดับภาคเหนือ นำมาเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการภัยเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมเข้าสู่ศูนย์ข้อมูล PDOSS (ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ) เพื่อให้การบริหารงานในปีต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
นายประเสริฐ เผยว่า ระบบแจ้งเตือนภัยของ ปภ. ผ่าน Cell Broadcast ครอบคลุมเกือบทุกภัยแล้ว แต่หากจังหวัดมีระบบแจ้งเตือนภัยของเราเองจะใกล้ชิดและเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งมูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นประเมินไว้สูงถึง 3 พันกว่าล้านบาท และอาจเกินแสนล้านหากรวมสิ่งปลูกสร้างและถนนหนทางทั้งหมด
หลังจากเกิดเหตุการณ์ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ กล่าวว่า ตนได้นำวิศวกรอาสาเข้าสำรวจพื้นที่พบว่ามีความเสียหายของอาคารบ้านเรือนกว่า 1,700 หลัง และช่วยให้การเบิกจ่ายเงินเยียวยาเป็นไปอย่างทันท่วงที แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้หลังจากเกิดเหตุการณ์ คือรูปแบบความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อปรับปรุงยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างให้ทนทานต่อน้ำ รวมถึงมีระบบเตือนภัยจากข้อมูลที่ดี และมีเซนเซอร์ตรวจจับที่ช่วยให้ชี้เป้าได้
...
ด้าน รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง กล่าวเสริมว่า แม้จะมีแผนแม่บททรัพยากรน้ำที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ดำเนินการอยู่ แต่การวิจัยจะเข้ามาเสริมให้การแก้ปัญหาครบวงจร โดยจะต้องถูกกำหนดทิศทางและวงเงินควบคู่กับโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติภายใต้ขอบเขตที่ ววน. จะสามารถนำไปขับเคลื่อนได้ เพื่อป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้น
ผศ.ดร.อังกูร ว่องไวตระกูล อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เผยว่า เนื่องจากเชียงรายไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่มานาน ทำให้เมืองขาดการวางแผนและไม่มีเกณฑ์ตัวเลขที่ชัดเจนในการเตือนภัยสถานการณ์น้ำท่วม งานวิจัยตัวนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้เราเข้ามาเร่งทำเกณฑ์การเตือนภัยให้ทันในฤดูฝนปี 2568 และสามารถเสนอเกณฑ์ที่เหมาะสม คือใช้สถานีเตือนภัยที่ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และใช้สถานีสังเกตการณ์ที่ สะพานพ่อชุน จังหวัดเชียงราย โดยสามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ 12 ชั่วโมง
...
อย่างไรก็แล้วแต่ ทางผู้วิจัยยังมีความต้องการขยายเวลาเตือนภัยให้มากกว่านี้ โดยใช้เทคนิคการพยากรณ์น้ำฝนโดยใช้เรดาร์ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของต้นน้ำของแม่น้ำกกอยู่ที่ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทางทีมวิจัยไม่สามารถเข้าไปติดเครื่องมือวัดต่างๆ ได้
ในส่วนของปัญหาน้ำปนเปื้อนนั้น ผู้อำนวยการ สกสว. เผยว่า เบื้องต้น สกสว. ได้สนับสนุนข้อมูลจากกรมประมง งานวิจัยสารพิษ และการซื้อขาย เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน “ปลาปลอดภัย” ที่ประชาชนสามารถสแกนเพื่อรับรู้ระดับสารปนเปื้อนในลำน้ำสาขา รวมถึงข้อมูลว่าจะสามารถบริโภคปลาชนิดใดได้อย่างปลอดภัยหรือมีความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการสารพิษในแม่น้ำ
รับมือแผ่นดินไหวเชียงราย หนึ่งในพื้นที่เสี่ยงเกิดบ่อยที่สุด
ศ.ดร.อมร นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ เผยว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงด้านแผ่นดินไหว เพราะมีรอยเลื่อนที่มีพลังถึง 5 รอยเลื่อน คือ รอยเลื่อนแม่จัน รอยเลื่อนแม่อิง รอยเลื่อนแม่ทา รอยเลื่อนแม่ลาว และรอยเลื่อนพะเยา
เมื่อปี 2557 จังหวัดเชียงรายได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างอาคารกว่า 10,000 ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบัน รอยเลื่อนต่างๆ ยังมีการขยับตัวอยู่ เพราะฉะนั้น จังหวัดเชียงรายก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้อีก
ศ.ดร.อมร เผยว่า แผ่นดินไหวยังคงเป็นภัยพิบัติที่ไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ เพราะฉะนั้น วิธีการแก้ไขคือ ต้องทำให้อาคารหรือสถานที่ต่างๆ มีความแข็งแรง แต่บางครั้งตัวอาคารและสถานที่ต่างๆ ก็ได้ถูกออกแบบมาเนิ่นนานแล้ว บางอาคารถูกออกแบบก่อนหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายเรื่องแผ่นดินไหว สิ่งนี้จึงเกิดเป็นวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ คือการเน้นเรื่องการเสริมให้อาคารแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะอาคารโรงเรียนหรือโรงพยาบาล
หลังจากที่ทำให้ตัวอาคารแข็งแรงแล้ว ก็จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหว ในอดีตเซนเซอร์ตรวจจับเหล่านี้จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถผลิตใช้งานเองได้แล้ว ทำให้มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิม 5 เท่า
เซนเซอร์ตัวนี้เป็นการตรวจจับแบบต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้แจ้งเตือนเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การตัดสินใจว่าจะอพยพหรือไม่ ซึ่งหากเซนเซอร์ตรวจจับความรุนแรงว่าไม่ถึงค่าที่กำหนด ก็อาจจะไม่ต้องอพยพ เพราะการอพยพอาจสร้างความโกลาหล เสี่ยงทำให้บาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายระหว่างอพยพได้
ดังนั้นเซนเซอร์เหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้มีข้อมูลในการตัดสินใจที่เป็นปัจจุบัน และยังสามารถบอกถึงความแข็งแรงของตัวอาคารว่ายังสามารถอาศัยอยู่ได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องปิดการใช้งานอาคาร
สิ่งนี้ทำให้สมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ร่วมมือกับหลายภาคส่วน ได้จัดทำโครงการต้นแบบการเสริมกำลังโครงสร้างอาคาร โดยคาดหวังว่าต้นแบบนี้จะถูกนำไปใช้ในตัวอาคารอื่นๆ ต่อไป
One Plan One Map สู่ Master Plan ระดับจังหวัด
นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เผยถึงการบูรณาการร่วมกับนักวิจัยและ สกสว. ว่า การทำงานในครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพ One Plan One Map ที่นำไปสู่การวิจัยสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ และจัดทำแผนแก้ไขปัญหาส่งให้ภาครัฐแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
อบจ.จะนำแผนภาพรวมนี้ไปจัดทำ Master Plan ระดับจังหวัด เพื่อนำส่งต่อภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณได้อย่างถูกต้อง และนำข้อมูลส่งต่อให้พี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ PDOSS ที่ อบจ. ร่วมดำเนินการกับจังหวัดผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อการแจ้งเตือนภัย ดูแล และเยียวยาอย่างทันท่วงที
นางอทิตาธร เผยว่า ปัจจุบัน งบประมาณของ อบจ. มีจำกัด ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาทั้งหมดอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องบูรณาการกับหน่วยงานอื่น และการทำงานภายใต้ศูนย์ PDOSS ร่วมกับจังหวัดและท้องถิ่นทั้งหมด เพื่อประมวลภาพรวมกลับไปปรากฏในแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ต่อไป