“สหรัฐ” ตั้งป้อมกด “ไทย” สงบศึก “กัมพูชา” ระงับเจรจาภาษี นักวิชาการประเมิน นายกฯ ต้องเลือกระหว่างความมั่นคงริมชายแดน กับผลกระทบเศรษฐกิจ ชี้หาตลาดส่งออกใหม่แทนไม่ง่าย แต่ยังมีระยะเวลาในการเจรจาใหม่อีกรอบถึงปลายปีนี้

วันนี้ (15 พ.ย.68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า รองผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา แจ้งว่าขอระงับการเจรจากรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะกลับมาเจรจาข้อตกลงอีกครั้ง เมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะกลับเข้าสู่ Joint Declaration ไทย-กัมพูชา ปฏิบัติตาม ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา หวังว่าจะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว


หลังไทยได้ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยมีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริการ่วมเป็นพยาน โดยหลังจากนั้นมีข้อตกลงถอนอาวุธหนักตามแนวชายแดนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่ทางฝ่ายกัมพูชา ยังไม่มีท่าทีที่จะร่วมมือในการเก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดนตามสัญญา จนล่าสุดทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2568 บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

...


หลังจากนั้นนายกฯ อนุทิน ได้ลงพื้นที่และประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่ลงนามไว้ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นก็มีการยิงยั่วยุมาจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งล่าสุดสหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศสั่งระงับการเจรจาภาษี ในการนำสินค้าไทยส่งออกไปอเมริกาทั้งหมด จนคาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบกับเศรษฐกิจการส่งออกของไทยหลังจากนี้

กำแพงภาษีของสหรัฐที่ตั้งไว้สูง ถือเป็นกับดักที่ไทยต้องเผชิญ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI วิเคราะห์ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า การระงับการเจรจาภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อไทยเป็นอะไรที่ทำได้ยาก สัญญาณที่ส่งมาแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาต้องการให้ไทยสงบศึกกับกัมพูชา สะท้อนให้เห็นว่า ไทยไม่สามารถดำเนินนโยบายด้านความมั่นคง ได้โดยง่าย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

 กรณีนี้ไทยต้องบาลานซ์ให้ดี และต้องเลือกระหว่างว่าจะเลือกความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ ถ้าเลือกเรื่องความมั่นคงก็จะทำให้การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาล่าช้าไปอีก แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรื่องเศรษฐกิจก่อนจะกระทบกับความมั่นคงริมชายแดน

เมื่อถามว่าการถูกระงับจากสหรัฐอเมริกาจะกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกใดบ้าง ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นผล เพราะว่ากรอบการเจรจายังอยู่ในเงื่อนไข ซึ่งยังมีระยะเวลาตามที่ประกาศมาอยู่ในช่วงปลายปี


แต่ในทางกลับกัน การชะลอเรื่องภาษี และลากยาวไปถึงปลายปี จะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐอาจจะมองว่าไทยไม่จริงใจในการเจรจาเรื่องภาษี และเป็นผลร้าย หากสหรัฐเริ่มเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย ตัวอย่างเช่น แคนาดา ที่เมื่อทำไม่ถูกใจทรัมป์ สหรัฐก็ประกาศว่าจะขึ้นภาษีทันที

สิ่งนี้คือความยากลำบากเพราะว่าที่ผ่านมารัฐบาลก็ไม่อยากจะแตะเรื่องความมั่นคง ซึ่งพยายามให้ทหารนำก่อน โดยเฉพาะโมเดลการโยนทุกอย่างให้ทหารตัดสินใจก็ต้องระวังว่า จะกระทบกับเศรษฐกิจได้

แต่เวลานี้เรายังมีเวลาในการที่จะเจรจาใหม่ ดังนั้นยังไม่ต้องรีบ แต่ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงที่ทรัมป์ จะอารมณ์เสียแล้วก็ขึ้นภาษีไทยได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าควรจะกลับไปเจรจากับสหรัฐเรื่องภาษีใหม่อีกครั้งเมื่อไหร่ ได้รับคำตอบว่า ไม่สามารถบอกได้ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นคนที่มีความแปรปรวนด้านอารมณ์สูง บางครั้งนึกอยากจะมาเร่งเรื่องนี้โดยเร็วหรือช้าก็ได้

...

ก่อนหน้านั้นคุณอนุทิน นายกรัฐมนตรีไทย ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าว และประกาศว่าสันติภาพได้จบแล้ว แต่หลังจากมีการประกาศขึ้นภาษี ในเชิงเศรษฐกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการส่งออกไทยต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐค่อนข้างมาก ทั้งสินค้าต่างๆ ที่เราผลิตส่งออกไปเอง กับสินค้าอีกหลายอย่างที่เราผลิตในไทย แล้วส่งไปยังสหรัฐอเมริกา

การหาตลาดส่งออกใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นรัฐบาลควรต้องพิจารณาว่าจะทำยังไงให้สามารถเคลื่อนต่อไปได้ในเชิงของเศรษฐกิจและความมั่นคงริมชายแดน

 


ไทม์ไลน์ระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา

 

ไทม์ไลน์การระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา และคำประกาศของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีดังนี้

 

1. การลงนามปฏิญญาสันติภาพ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568

เหตุการณ์: ประเทศไทยและกัมพูชา (นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต) ลงนามใน ปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง 4 ข้อ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงการประชุมอาเซียน

...

สักขีพยาน: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (สหรัฐฯ) และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม (มาเลเซีย/ประธานอาเซียน)

 

2. ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง

 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ จนได้รับบาดเจ็บ โดยมี 1 นายต้องสูญเสียขา การตรวจสอบของไทย: ผู้ร่วมสังเกตการณ์หลายประเทศยืนยันว่า ทุ่นระเบิดทั้ง 4 ทุ่น เป็นทุ่นระเบิดใหม่ ที่มีการลักลอบเข้ามาวางในเขตพื้นที่ของไทย หลังวันที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในปฏิญญาฯ

 

3. นายกฯ อนุทิน ประกาศ "สันติภาพมันจบลงแล้ว"

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ) เพื่อให้กำลังใจกำลังพล และประกาศท่าทีของรัฐบาลอย่างชัดเจน นายกฯ อนุทิน ประกาศว่า "สิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้ เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพ มันจบลงแล้ว" และ "ณ ขณะนี้ 4 ข้อในปฏิญญาประเทศไทยไม่ปฏิบัติแล้ว"

การดำเนินการ: รัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญาทั้ง 4 ข้อ และจะดำเนินการในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องไปหารือหรือปรึกษาใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สนใจการขอรื้อฟื้นจากมาเลเซีย และเมินการรายงานต่อประธานาธิบดีทรัมป์ โดยอ้างว่าไทยเป็นประเทศอธิปไตย