ย้อนเส้นทาง “ธนดล” นักกฎหมายหนุ่มวัย 31 ปี ทนายความ "ธรรมนัส-เบน สมิธ" ผู้เคยถูกอนุทินซัดเดือด "หน้าตัวเมีย" สู่บทบาทล่าสุด ขรก.การเมือง สำนักเลขาธิการนายกฯ สายล่อฟ้าใหม่รัฐบาล?

ย้อนเส้นทาง ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษากฎหมายและทนาย “ธรรมนัส-เบน สมิธ” สู่ตำแหน่งข้าราชการการเมือง  ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในวัย 31 ปี 

เริ่มต้นเส้นทางการเมือง

ธนดล เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ปัจจุบันอายุ 31 ปี จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เริ่มต้นชีวิตการทำงานการเมือง ด้วยการเป็น ผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคและอดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย ในปี พ.ศ.2562 ก่อนได้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร

เข้าใต้ร่ม “ผู้กองธรรมนัส”

...

ต่อมาปี พ.ศ.2566 ธนดล ได้รับการแต่งตั้งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั่งรองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาคราช และ โฆษกหน่วยเฉพาะกิจฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยมีบทบาทสำคัญเป็นประธานคณะทำงานการตรวจสอบและพิจารณาความผิดเกี่ยวกับผู้ได้รับการจัดที่ดินและผู้ถือครองที่ดินโดยมิชอบในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) จนได้รับฉายาว่า “มือปราบ ส.ป.ก.” รวมถึงการตรวจสอบที่ดินภูนับดาว โยงใย “หวานใจอดีตรองนายก” ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเครื่องมือให้ธรรมนัส ตีจาก พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

ถูก “อนุทิน” ซัดเดือด หน้าตัวเมีย

อีกหนึ่งประเด็นฮือฮา คือการตรวจสอบผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการออกโฉนดโดยมิชอบในพื้นที่ 4 หมื่นไร่ บนพื้นที่ ส.ป.ก. อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เกี่ยวพันกับ สนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ (Rancho Charnvee) ของครอบครัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นำมาสู่วลีเดือด “หน้าตัวเมีย”

นายอนุทิน ยืนยันว่าที่ดินแปลงนี้ได้มาโดยสุจริต มองอีกฝ่ายเล่นนอกเกม ถ้าเป็นฝ่ายการเมืองมาเล่นแบบนี้ก็หน้าตัวเมีย ก่อนต่อมาจะให้สัมภาษณ์ว่านายธนดลได้เข้ามายกมือไหว้ขอโทษอย่าง “นอบน้อม” ที่ล่วงเกิน ขณะที่นายธนดล เผยว่าที่ดินแปลงนี้ถูกต้อง ส่วนที่ขอโทษนอบน้อม เพราะเป็นมารยาทที่ดี ตนเป็นเด็ก ท่านเป็นผู้ใหญ่

ทนายความ “เบน สมิธ” สู่ข้าราชการการเมือง

ชื่อของนายธนดล เป็นประเด็นร้อนบนหน้าข่าวอีกครั้ง หลังนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้อภิปรายขณะการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 30 ก.ย. แฉประเด็นเครือข่ายสแกมเมอร์กัมพูชา โดยยกชื่อนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ “เบน สมิธ” อดีตที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซ็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และมีภาพอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส ผู้ซึ่งนั่งในรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ในฐานะรองนายกฯ และ รมว.เกษตร

ต่อมา 6 ต.ค. นายธนดล ในฐานะทนายความของเบน สมิธ ได้ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ โรม เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ฐานอภิปรายพาดพิงว่านายเบน สมิธ เป็นสแกมเมอร์ พร้อมชี้แจงว่าที่ใช้ทนายความเดียวกับ ร.อ.ธรรมนัส เพราะทั้งคู่รู้จักกันผ่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และตนช่วยดูแลเรื่องกฎหมายให้

ในวันที่ 4 พ.ย. ในมติ ครม.แต่งตั้งหลายตำแหน่ง ปรากฎชื่อของนายธนดล ในฐานะข้าราชการการเมือง สำนักเลขาธิการนายกฯ นำมาสู่ข่าวลือนายกฯ อนุทิน ปิดห้องคุยผู้กองธรรมนัสเพื่อเคลียร์เรื่องนี้ แต่ต่อมานายกฯ อนุทิน แจงว่า ไม่มีการคุยเรื่องนี้ คนที่มีสิทธิจะเข้ามาต้องได้รับการรับรองจากหัวหน้าสังกัด 

...

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าเชื่อมั่นว่า ร.อ.ธรรมนัส กรองมาแล้วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เสียงของพรรคกล้าธรรม(กธ.) ก็ถือว่าเป็นเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนข้อกังวลว่า ร.อ.ธรรมนัสเหมือนเป็นสายล่อฟ้ารัฐบาล มองว่า ทุกพรรคมีสายล่อฟ้าหมด

ต่อมากลางดึก 5 พ.ย. นายธนดล โพสต์ชี้แจง ยุติการทำหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ “เบน สมิธ” แล้ว หลังเกิดเสียงวิจารณ์ ขอไม่ไปยุ่งเกี่ยวทุกกรณีเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาในสังคม จากนี้ขอทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์เพื่อผระโยชน์ประเทศชาติ  

ล่าสุดวันที่ 6 พ.ย. นายธนดล ชี้แจงในรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยืนยันว่าตน “ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย” ผ่านการตรวจสอบประวัติไม่มีคุณสมบัติด่างพร้อย แต่เนื่องจากสังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมว่าได้รับการเสนอชื่อเป็นข้าราชการเมืองแต่ยังเป็นทีมปรึกษาให้นายเบน สมิธ เมื่อปรึกษากับผู้ใหญ่ได้ความว่าต้องฟังเสียงสังคมเลยถอนตัวออกมาดีกว่า

ส่วนคำถามว่าตอนนี้กลายเป็น “สายล่อฟ้า” ใหม่ของรัฐบาลนั้น ก็อยากขอให้ความเป็นธรรม ตนเป็นแค่คนธรรมดาอย่ามองเป็นสายล่อฟ้าเลย ตนทำงานการเมืองมา 7 ปีแล้ว เคยทำงานฝ่ายค้านร่วมกับ สส.รังสิมันต์ โรม ก่อนได้รับโอกาสจาก ร.อ.ธรรมนัส มาทำงานเรื่อง สปก. ปราบหมูเถื่อน ฯลฯ ซึ่งอาจสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ทุกวันนี้ประชาชนมองตนแต่เรื่องปัจจุบัน ก็อยากให้มองผลงานตั้งแต่อดีตด้วย 

จึงต้องจับตาดูว่า ด้วยแรงเสียดทานต่างๆ จะกลายเป็น "เชื้อไฟ" หรือ "กาวใจ” ให้กับพรรคกล้าธรรม หรือไม่ 

...