"โครงการศูนย์ศิลปาชีพ” สายธารพระเมตตา สมเด็จพระพันปีหลวง ยกระดับชีวิตปวงประชาและรักษามรดกวัฒนธรรมไทย
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงติดตามเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกหนแห่งทั่วประเทศ และดำเนินพระราชกรณียกิจโครงการต่างๆ เพื่อบำบัดทุกข์และบำรุงสุขแก่พสกนิกรของพระองค์ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่ปวงชนชาวไทย
“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการในพระราชดำริ จากสายพระเนตรที่ยาวไกล มุ่งหวังสร้างรากฐาน เพิ่มพูนรายได้ให้ประชาชนจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมอาชีพและความมั่นคงทางวัฒนธรรมไทย สร้างภูมิคุ้มกันให้ราษฎรได้มีชีวิตที่มั่นคง มีความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปประกอบอาชีพที่อื่น
“...ข้าพเจ้านั้นภูมิใจเสมอมาว่า คนไทย มีสายเลือดของช่างฝีมืออยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา หรืออาชีพใด อยู่สารทิศใดคนไทยมีความละเอียดอ่อน และไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขาได้โอกาสฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นได้...”
พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2532 สะท้อนถึงพระราชศรัทธาอันลึกซึ้งในศักยภาพของปวงชนชาวไทย
...
จุดเริ่มต้นโครงการ “ศิลปาชีพ”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงงานช่วยเหลือประชาชนในชนบทอย่างใกล้ชิด และได้ทรงสังเกตเห็นว่า หัตถกรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นต่างๆ นั้น ล้วนมีคุณค่าและมีความงดงามซ่อนอยู่ เป็นเอกลักษณ์ประจำในแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ที่ชาวบ้านทำขึ้นใช้เองในการดำรงชีวิตประจำวัน
นำมาสู่การริเริ่มโครงการศิลปาชีพ และการก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2519 โดยพระองค์ทรงเป็นประธานกรรมการบริหารของมูลนิธิฯ
วัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริมให้คนไทยในภูมิภาคต่างๆ ผลิตงานด้านศิลปหัตถกรรมตามที่มีอยู่ในท้องถิ่นเพื่อเป็นอาชีพเสริม นอกเหนือจากอาชีพเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลัก สร้างรายได้พิเศษให้แก่ครอบครัวชาวนา ชาวไร่ ผู้มีรายได้น้อยนอกฤดูกาลเกษตร โดยให้ความรู้เกี่ยวกับการประดิษฐ์ศิลปหัตถกรรมต่างๆ ตลอดจนส่งเสริมจัดหาตลาดให้กับผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมครัวเรือนเหล่านี้ด้วย
ย้อนไปก่อนการก่อตั้งมูลนิธิฯ พระราชดำริครั้งแรกๆ ในการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมมีขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2508 ระหว่างประทับที่วังไกลกังวลหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ที่หมู่บ้านเขาเต่า อ.หัวหิน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้ทรงชักชวนให้หญิงชาวบ้านหัดทอผ้าฝ้ายขาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดหาครูทอผ้าจาก จ.ราชบุรีมาช่วยสอนให้ ปรากฏว่ากิจการทอผ้าขาวม้า และผ้าซิ่นพื้นเมืองดำเนินไปด้วยดีพอสมควร ถือได้ว่าเป็นพระราชกรณียกิจแรกทางด้านการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมแก่ราษฎร ที่ทรงริเริ่มขึ้น
ต่อมาพฤศจิกายน พ.ศ. 2513 เกิดอุทกภัยที่จังหวัดนครพนม ภายหลังน้ำลดแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนและพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยมีราษฎรมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น และหญิงชาวบ้านแทบทุกคนนุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ซึ่งมีความสวยงามแตกต่างกันไป
สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ทอดพระเนตรผ้าไหมเหล่านั้นด้วยความสนพระราชหฤทัยยิ่ง และทรงสอบถามราษฎรจนได้ความว่า ราษฎรทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้ใช้กันเองแทบทุกครัวเรือน แต่ไม่ได้ทอขาย นอกจากทอให้ลูกหลานยามออกเรือนเท่านั้น
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชปรารภว่า การพระราชทานสิ่งของให้แก่ชาวบ้านนั้น เป็นเพียงการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ควรจะหาวิธีที่ช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาวต่อไป สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จึงมีพระราชดำริว่า ชาวบ้านมีความรู้ความสามารถในการทอผ้าไหมมัดหมี่อยู่แล้ว หากส่งเสริมให้ทอเพิ่มขึ้นจากที่เคยทอไว้ใช้เองก็จะช่วยให้มีรายได้เสริม จึงทรงชักชวนให้ชาวบ้านเริ่มทอผ้าไหมมัดหมี่ขาย โดยทรงรับซื้อไว้เองทั้งหมด และเพิ่มราคาให้สูงกว่าท้องตลาด
ในเวลานั้น ผ้าไหมมัดหมี่ยังไม่ค่อยมีคุณภาพ มักมีลักษณะแคบ สั้น และส่วนใหญ่สีตก แต่ที่ทรงรับซื้อไว้ก็เพื่อจูงใจให้ชาวบ้านมีกำลังใจทอผ้าไหมต่อไป พร้อมกันนั้นก็พระราชทานคำติชม และข้อแนะนำต่างๆ แก่ชาวบ้าน จนผ้าไหมมัดหมี่ค่อยๆ พัฒนาคุณภาพดีขึ้นตามลำดับจนเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไป
หลังจากนั้นโครงการส่งเสริมการทอผ้าไหมก็ได้ขยายออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ ของจังหวัดทางภาคอีสาน และโปรดเกล้าฯ ให้ส่งเสริมการทอผ้าไหมพื้นเมืองทุกชนิด ทุกลวดลายพื้นเมือง ชาวบ้านที่ทอผ้าไม่เป็น ก็โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และทรงรับซื้อเส้นไหมนั้นส่งต่อไปยังผู้มีความสามารถในการทอเป็นผู้ทอแทน จนการทอผ้าไหมกลายเป็นโครงการส่งเสริมอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ราษฎรกว้างขวางที่สุด ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
...
“ศูนย์ศิลปาชีพ” ต่อยอดรายได้ คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทย
ภายหลังจากการจัดตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นเป็นทางการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา ได้เกิดโครงการส่งเสริมอาชีพแก่ราษฎรเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ขยายงานศิลปาชีพไปยังแขนงต่างๆ เกิดการจัดตั้ง “ศูนย์ศิลปาชีพ” ขึ้นในหลายจังหวัด เพื่อให้เป็นศูนย์รวมการเรียนการสอนศิลปาชีพ และเป็นศูนย์อำนวยการประสานงาน รวบรวมผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ โดยบางศูนย์สามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของศูนย์ให้แก่ผู้สนใจได้โดยตรง
ผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ปัจจุบันมีศูนย์ศิลปาชีพอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ในหลากหลายศิลปหัตถกรรม ทั้งงานผ้าและสิ่งทอ งานหัตถกรรมจากวัสดุธรรมชาติ งานโลหะและเครื่องประดับ งานเครื่องปั้นและศิลปะตกแต่ง ไปจนถึงงานหัตถศิลป์ชั้นสูง
ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนองค์ความรู้และส่งเสริมการผลิต แต่ยังมีการประชาสัมพันธ์ให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จัก แสดงให้เห็นฝีมือของประชาชนชาวไทย และเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ แก่ผู้ที่ต้องการซื้อได้อย่างกว้างขวาง สร้างรายได้แก่ราษฎรผู้ผลิตอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ผ่านการจัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปาชีพ อันเป็นผลงานของมูลนิธิฯ เช่น การจัดงาน “ศิลป์ แผ่นดิน” อย่างต่อเนื่อง, การตั้งร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ วางจำหน่ายในร้านจิตรลดาสาขาต่างๆ, ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่ติดต่อเข้ามาในการส่งสินค้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า และงานจัดแสดงสินค้าในโอกาสพิเศษต่างๆ
...
ไม่เพียงเท่านั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ยังมีพระราชประสงค์ที่จะเผยแพร่ผลงานศิลปาชีพ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านไทยแก่ชาวต่างชาติ ทรงพระราชทานผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพเป็นของขวัญแก่พระราชอาคันตุกะ และบุคคลสำคัญอยู่เสมอ
รวมถึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ ในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศในหลายครั้งด้วยกัน เพื่อให้นักธุรกิจและประชาชนในประเทศนั้นๆ ได้มีโอกาสเห็นผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ ที่ทำขึ้นด้วยฝีมือของคนไทย
“โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ” จึงเปรียบเสมือนประจักษ์พยานแห่งพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากจุดเริ่มต้นที่ทรงต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนในระยะยาวแก่ราษฎร เติบโตสู่การอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาไทย พลิกฟื้นงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านให้กลับมามีชีวิตชีวา และสืบสานภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ให้คงอยู่กับปวงชนชาวไทยสืบไปชั่วกาลนาน
น้อมส่งเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่สวรรคาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ขอบคุณ : มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, สำนักงานพระคลังข้างที่