ถอดถ้อยแถลงเวที UNHCR ปมบ้านหนองจาน “กัมพูชา” กล่าวหาไทยรุกล้ำ ขับไล่ชาวบ้าน “ไทย” โต้หมู่บ้านอยู่ในเขตไทย-ให้ลี้ภัยช่วงสงครามแต่กลับขยายถิ่นฐาน ซัดใช้ชาวบ้าน-เด็ก-พระ ยั่วยุเพิ่มความตึงเครียด
ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 6-10 ต.ค.2568 กัมพูชา ได้มีถ้อยแถลง พาดพิงกล่าวหาไทยปมข้อพิพาทชายแดน ทำให้ไทยใช้สิทธิในการตอบกลับ ถอดถ้อยแถลงได้ดังนี้
ถ้อยแถลงของกัมพูชา (เฉพาะที่พาดพิงประเทศไทย)
"ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาวกัมพูชาได้ทำงานร่วมกับสหประชาชาติและข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย เพื่อคุ้มครองผู้เปราะบาง ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัย และมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ความพยายามเหล่านี้มิใช่เพียงการแสดงเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นว่าอธิปไตยอันสูงส่งที่สุดคือการยืนหยัดร่วมกัน มิใช่การแยกตัว
...
ทว่าในวันนี้ หลักการที่หล่อเลี้ยงสถาบันแห่งนี้กำลังถูกทดสอบตามแนวชายแดนของเรา ท่ามกลางการรุกล้ำจากประเทศไทยที่ทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ทำลายบ้านเรือน และละเมิดชุมชนที่สงบสุขในปอยเปตและสระแก้ว
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือภัยคุกคามในการขับไล่ครอบครัวชาวกัมพูชาจำนวนมากซึ่งอยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคนภายใต้การบริหารของเรา
การกระทำเช่นนี้ที่อ้างเหตุผลภายในประเทศ ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงทวิภาคีระหว่างสองประเทศของเรา และเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ซึ่งห้ามการย้ายถิ่นของพลเรือนโดยใช้กำลัง การทำลายทรัพย์สิน และการลงโทษหมู่
ตอนนี้ครอบครัวต่างต้องพากันหนีด้วยความหวาดกลัว ครูและเด็กต้องละทิ้งโรงเรียนและวัด เป็นเครื่องเตือนใจว่าเมื่อกฎหมายอ่อนแอ ความทุกข์ย่อมทวีคูณ
การดำเนินการของกัมพูชายึดมั่นตามหลักกฎหมาย และเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมและมนุษยธรรมต้องไม่ยอมจำนนต่อการรุกราน
เราได้เปิดช่องทางด้านมนุษยธรรม จัดบริการทางการแพทย์ และทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศ รวมถึง UNHCR และ ICRC เพื่อจัดการสถานการณ์ภาคสนาม
เราขอเรียกร้องให้มีการเข้าถึงด้านมนุษยธรรมและยกเลิกสิ่งกีดขวางที่ผิดกฎหมายรอบพื้นที่อยู่อาศัยของพลเรือน
เรามิได้กระทำเพราะความอ่อนแอ แต่เพราะความเชื่อมั่นว่าการยับยั้งชั่งใจคือความเข้มแข็ง และกฎหมายต้องเป็นเครื่องชี้วัดความชอบธรรม การยืนหยัดของเราไม่ควรถูกเข้าใจว่าเป็นการยอมจำนน การโจมตีพลเรือน การควบคุมตัวทหาร และการขับไล่ชุมชนทั้งหมู่บ้าน เป็นการทำลายหลักระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง"
ถ้อยแถลงของไทย
“ด้วยความเสียใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องขอใช้สิทธิในการพูด เพื่อตอบต่อถ้อยแถลงของเพื่อนร่วมภูมิภาคจากกัมพูชา เวทีพหุภาคีเช่นนี้ไม่ควรถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูล เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ประการแรก ประเทศไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า หมู่บ้านที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้นตั้งอยู่ในดินแดนของไทย การดำรงอยู่ของหมู่บ้านเหล่านี้เป็นผลจากการที่ประเทศไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในประเทศตนเองเข้ามาพักพิงในประเทศไทย ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจและหลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมเนียมปฏิบัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนานของประเทศไทย
หมู่บ้านเหล่านี้ในตอนแรกเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราวในช่วงทศวรรษ 1980 สำหรับชาวกัมพูชาที่หลบหนีการสู้รบ ซึ่งผ่านการคัดกรองโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อรอการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม
อย่างไรก็ตาม หลังจากความขัดแย้งในกัมพูชาสิ้นสุดลงในช่วงทศวรรษ 1980 และที่พักพิงชั่วคราวได้ปิดตัวลงแล้ว ต่อมามีชาวกัมพูชาบางส่วนเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว และขยายการตั้งถิ่นฐานออกไปอีก แม้ประเทศไทยจะได้ประท้วงหลายครั้งต่อการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือดำเนินการรับผิดชอบใดๆ
ในทางกลับกัน เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพกัมพูชาได้กระตุ้นให้ประชาชนชาวกัมพูชา รวมถึงเด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อกระทำการยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพื่อเพิ่มความตึงเครียด นี่เป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ และเป็นหลักฐานแสดงถึงความล้มเหลวของกัมพูชาในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4
...
การกระทำของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและความเป็นมิตรที่ดีต่อเพื่อนบ้าน ไม่ควรถูกตอบแทนจากกัมพูชาในลักษณะเช่นนี้
ประการที่สอง เกี่ยวกับเชลยศึก ประเทศไทยขอย้ำว่า เชลยศึกจำนวน 18 นายถูกจับกุมได้ระหว่างการสู้รบที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน อันเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง บุคคลเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ครบถ้วนตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ได้เข้าถึงเชลยศึกเหล่านี้เป็นประจำ และอำนวยความสะดวกในการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขา การคุมขังพวกเขาไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกบีบบังคับให้กลับไปเข้าร่วมการสู้รบอีก พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน กัมพูชายังคงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และพยายามทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ แทนที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่ได้ตกลงไว้โดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยในความจริงใจและความสุจริตใจของกัมพูชาในการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุแนวทางที่ตกลงกันไว้
หลักฐานที่ชัดเจนของการปฏิบัติด้วยความสุจริตใจจากฝ่ายกัมพูชา จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการหารือเพิ่มเติมของเราในอนาคต”