เกียวโต เตรียมขึ้นภาษีที่พักสูงสุด 10 เท่า อีกหนึ่งมาตรการแก้ "Overtourism" สะท้อนความสัมพันธ์ “ทั้งรักทั้งชัง” นักท่องเที่ยวของญี่ปุ่น  

เป็นข่าวฮือฮาในวงการท่องเที่ยว เมื่อ “เกียวโต” จุดหมายยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่น เตรียมขึ้น าษีที่พัก (Accommodation Tax) สูงสุดที่ 10,000 เยน (ราว 2,300 บาท) ต่อคนต่อคืน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราเดิม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2026 เป็นต้นไป

มาตรการนี้ถูกพูดถึงตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่เพิ่งได้รับไฟเขียวจากกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารเมื่อ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา หวังช่วยลดปัญหา "Overtourism" รวมถึงเพิ่มรายได้ในการจัดการดูแลเมือง 

"นักท่องเที่ยวต้องร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายสำหรับมาตรการรับมือกับภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมืองเช่นกัน" ทางการเกียวโต ย้ำเหตุผลในเอกสารที่ยื่นต่อกระทรวง 


“ภาษีที่พัก” ไม่ใช่เรื่องใหม่

...

การเก็บภาษีที่พัก ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลายเมืองมีการเก็บมาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งภาษีนี้ ถูกกำหนดและจัดเก็บโดยรัฐบาลท้องถิ่นในอัตราที่แตกต่างกันไป  

โตเกียว เป็นเมืองแรกที่เริ่มเก็บภาษีที่พัก ตั้งแต่ปี 2002 โดยยกเว้นห้องพักที่ราคาต่ำกว่า 10,000 เยนต่อคนต่อคืน ขณะที่ห้องพักราคา 10,000 – 15,000 เยนต่อคนต่อคืน อัตราภาษีอยู่ที่ 100 เยน และห้องพักที่ราคามากกว่า 15,000 เยน อัตราภาษีอยู่ที่ 200 เยน

โอซากา อีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิต เริ่มเก็บภาษีที่พักตั้งแต่ปี 2017 ไม่ใช่เพียงแค่โรงแรมแต่รวมถึง หอพักเอกชน (Private Lodgings) โดยไม่เก็บภาษีห้องพักที่ราคาต่ำกว่า 7,000 เยนต่อคนต่อคืน ขณะที่ห้องพักราคา 7,000 – 15,000 เยนต่อคนต่อคืน อัตราภาษีอยู่ที่ 100 เยน ห้องพักราคา 15,000-20,000 เยน เก็บภาษี 200 เยน และห้องพักที่ราคามากกว่า 20,000 เยน เก็บภาษีอยู่ที่ 300 เยน

คุตจัง จังหวัดฮอกไกโด เป็นเมืองเดียวที่ใช้ระบบเก็บภาษีแบบร้อยละ (Percentage Rate) ที่ 2% ของค่าห้องพัก

ฟุกุโอกะ มีการเก็บภาษีสองต่อ (Double Taxation) โดยเก็บทั้งภาษีจังหวัด (Prefectural Tax) และภาษีเมือง (City Tax) ในอัตราที่แตกต่างกันไปในแต่ละเมือง

เกียวโต เริ่มเก็บภาษีที่พักตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งอัตราภาษีใหม่ที่กำลังจะใช้ คือ 

  • ที่พักราคาต่ำกว่า 6,000 เยน อัตราภาษีคงเดิมที่ 200 เยน
  • ที่พักราคา 6,000 - 20,000 เยน ภาษีเพิ่มจาก 200 เยนเป็น 400 เยน
  • ที่พักราคา 20,000- 50,000 เยน ภาษีเพิ่มจาก 500 เยนเป็น 1,000 เยน
  • ที่พักราคา 50,000- 100,000 เยน ภาษีเพิ่มจาก 1,000 เยนเป็น 4,000 เยน
  • ที่พักราคา 100,000 เยนขึ้นไป ภาษีเพิ่มจาก 1,000 เยนเป็น 10,000 เยน

นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีจะเป็นการผลักให้นักท่องเที่ยวไปพักในโอซากา ซึ่งถูกกว่าและสามารถเดินทางมาเที่ยวเกียวโตได้ง่าย ทำให้เกียวโตเสียรายได้จากที่พักและยังไม่ช่วยแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้น

ซึ่งทางการเกียวโตก็ระบุว่าอัตราภาษีใหม่นี้สมเหตุสมผล โดยอัตราภาษีสำหรับที่พักราคาถูกไม่ได้ถูกปรับขึ้นมากนัก ไม่กระทบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบประหยัด (budget travellers) แต่ไปปรับสูงในที่พักที่หรูหรา ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรี (luxury) มีกำลังจ่ายอยู่แล้ว 


ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง

การขึ้นภาษีเหล่านี้ ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อหารายได้เข้ารัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการปัญหา “Overtourism” หรือ ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่น

ในปี 2024 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในญี่ปุ่น ทำลายสถิติที่ 36.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 47.1% ขณะที่ครึ่งปีแรกของ 2025 มีนักท่องเที่ยวแล้วกว่า 21.5 ล้านคน สูงกว่าครึ่งปีแรกของ 2024 และมีแนวโน้มว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีอาจทำลายสถิติอีกครั้ง

...

ปัญหาไม่ได้แค่จากการที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่นักท่องเที่ยวยังกระจุกตัวอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวหลักไม่กี่แห่ง คือเมืองใหญ่ “โตเกียว-โอซากา-เกียวโต” และเมืองยอดนิยมอื่นๆ เช่น นารา คามาคุระ ฟูจิคาวากุจิโกะ ซึ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นแสดงความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเบียดเสียดระบบขนส่งสาธารณะ มีปัญหาขยะ รวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม การไม่ศึกษาและปฏิบัติตามธรรมเนียมของสังคมญี่ปุ่น เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ริมถนน การลากกระเป๋าในพื้นที่แออัด

บางกรณีถึงขั้นน่าตกใจ เช่น นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันวาดกราฟฟิตีบนประตูไม้ของศาลเจ้าเมจิจิงกูอันเก่าแก่ในโตเกียว, อินฟลูเอนเซอร์ชาวชิลีถ่ายคลิปตัวเองโหนบาร์ที่เสาโทริอิ (Torii) ซุ้มประตูสีแดงในวัดชินโต หรือการที่ศาลเจ้าวาตาซึมิในนางาซากิ ได้ปิดรับนักท่องเที่ยวทั้งหมดหลังจากเกิด “การกระทำที่แสดงถึงความไม่เคารพอย่างร้ายแรงและไม่อาจให้อภัยได้” โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการกระทำใด

หรืออย่างที่ คามาคุระ เมืองริมทะเลเล็กๆ ไม่ไกลจากโตเกียว ซึ่งมีประชากรเพียง 170,000 คน กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม มีคนเดินทางไปเที่ยววันละกว่า 44,000 คน

ชาวเมืองคามาคุระรายหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNA ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกระทบกับความเป็นอยู่หลายด้าน ทั้งปัญหารถโดยสารประจำทางที่แน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวจนผู้สูงอายุในท้องที่ไม่สามารถขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลได้ หรือการที่นักท่องเที่ยวลงมาถ่ายรูปกลางถนนเพื่อให้ได้มุมเดียวกับที่ปรากฏในการ์ตูนดัง Slam Dunk

การขึ้นภาษีไม่ใช่มาตรการเดียวที่ถูกใช้ เช่น ก่อนหน้านี้เมื่อ เม.ย. 2024 เกียวโตก็ได้ออกกฎปรับเงิน 10,000 เยน นักท่องเที่ยวที่บุกรุกเข้าไปในซอยหรือที่พักส่วนบุคคลในย่านกิออน ย่านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านเกอิชา

...

ฟูจิคาวากูจิโกะ เมืองตากอากาศดูภูเขาไฟฟูจิชื่อดัง ที่ได้นำแผงกั้นมาวางที่ด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ Lawson ซึ่งมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิ เมื่อเดือน พ.ค.2024 หลังเจอปัญหานักท่องเที่ยวแห่เช็กอินถ่ายรูปจนกีดขวางถนน รบกวนคนในพื้นที่

หลายสถานที่ท่องเที่ยว ปรับตัวโดยการเปลี่ยนเป็นระบบจองเข้าชมเป็นรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวมาต่อคิวจนยาวเหยียด บางแห่งก็มีการขึ้นค่าธรรมเนียม จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวัน เช่น เส้นทางโยชิดะ ปีนภูเขาไฟฟูจิ ที่จำกัดจำนวนนักปีนเขาที่ 4,000 คนต่อวัน และเก็บค่าธรรมเนียมที่ 4,000 เยน

ความสัมพันธ์ “ทั้งรักทั้งชัง”

ผลการสำรวจจาก EY พบว่าชาวญี่ปุ่น 62% เรียกร้องให้มีการปรับปรุงมารยาทของนักท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขความไม่พอใจและปัญหาอื่นๆ ที่มาจากจำนวนนักท่องเที่ยวล้นเกิน ซึ่งความไม่พอใจต่อนักท่องเที่ยว ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกให้บริการเฉพาะชาวญี่ปุ่น อย่างที่เรามักเห็นตามโลกออนไลน์ ว่ามีป้ายติดหน้าร้านแจ้งไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงอยู่บ่อยครั้ง 

...

แม้จะมีกระแสความไม่พอใจและปัญหานักท่องเที่ยวล้นเกิน แต่ญี่ปุ่นก็พึ่งพาการท่องเที่ยวไม่น้อยและรัฐบาลญี่ปึ่นยังเดินหน้าผลักดันการท่องเที่ยว จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ “ทั้งรักทั้งชัง” (Love-Hate relationship)

รัฐบาลญี่ปุ่น ตั้งเป้าดันนักท่องเที่ยวให้ได้ 60 ล้านคนต่อปีภายใน 2030 โดยปัจจุบันการท่องเที่ยวคิดเป็น 7.3% ของ GDP ญี่ปุ่น และมีการจ้างงานกว่า 9% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ (เทียบกับประเทศไทย อยู่ที่ราว 16% ของ GDP)

ในปี 2024 นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากกว่า 8.1 ล้านล้านเยน (ราว 1.8 ล้านล้านบาท) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ในไตรมาส 2 ช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2025 มีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในญี่ปุ่น 2.5 ล้านล้านเยน (ราว 5.6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวก็เข้ามาเติมเต็มปัญหาประชากรลดลงในญี่ปุ่นด้วย โดย รศ.คาซุกิ ฟุคุอิ อาจารย์ด้านภูมิศาสตร์มหาวิทยาลัยริวสึ ไคเซ ให้ความเห็นกับสำนักข่าว CNA ว่า บทบาทของนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ชนบทของญี่ปุ่น คือการช่วยชดเชยรายได้ที่หายไป จากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเอง ซึ่งเป็นผลจากปัญหาประชากรลดลง

อีกทางออกที่สำคัญจึงอาจเป็นการ “กระจาย” นักท่องเที่ยวจากเมืองหลักไปยังเมืองอื่นๆ เมื่อปีก่อนนักท่องเที่ยวมากกว่าครึ่งเดินทางไปยังโตเกียว ขณะที่เมืองที่ได้รับความนิยมน้อยที่อย่าง จ.ชิมาเนะ มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติแค่ 0.2% จากทั้งหมดเท่านั้น

อาจเป็นหนทางชุบชีวิตชนบทของญี่ปุ่น สร้างงานให้คนหนุ่มสาวในพื้นที่ให้ไม่ต้องออกไปหางานในเมืองใหญ่ หรือกลับมาทำงานที่บ้านเกิด อย่างเช่น ทาคุมะ ฟุรุยะ ที่กลับมาผู้จัดการโรงแรม NIPPONIA Kosuge Village ใน จ.ยามานาชิ ในวัย 25 ปี

โรงแรมแห่งนี้เปิดทำการเมื่อปี 2020 เป็นโครงการที่ปรับปรุงจากบ้านที่ถูกทิ้งร้าง จากปัญหาประชากรในหมู่บ้านที่ลดจำนวนจนเหลือเพียง 700 คนและส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักปีละกว่า 2,000 คน และกว่า 90% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ สร้างรายได้ปีละกว่า 30 ล้านเยน


ปัญหาค่าเงินเยนตก เป็นหนึ่งในอีกปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยือนดินแดนอาทิตย์อุทัย และเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าแก้ไข ในด้านสถานการณ์ทางการเมือง ล่าสุดนายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ ประกาศลาออก และพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่คือนางซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยม เป็นว่าที่นายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น

สำหรับจุดยืนต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อไม่นานมานี้ นางทาคาอิจิ เคยเรียกร้องให้ใช้มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่พรรคซันเซโต พรรคฝ่ายขวาจัดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดใช้ในการหาเสียงด้วย

และในการหาเสียงของทาคาอิจิ ยังเคยปราศรัยถึงกรณีนักท่องเที่ยวเตะกวางในนารา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ และสัญญาจะจัดการอย่างเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวและผู้ย้ายถิ่นฐานที่ฝ่าฝืนกฎของญี่ปุ่น แนวทางการรับมือกับปัญหา Overtourism ภายใต้รัฐบาลของเธอจึงอาจมีการปรับเปลี่ยนหรือเข้มงวดขึ้นก็เป็นได้  

อ้างอิง : channelnewsasia, straitstimes, scmp, dw, matcha-jp