ปล้นร้านทองสุไหงโกลก แกะรอยแผนโจรกรรม ด่วนสรุปเสี่ยงซ้ำเติมไฟใต้ "นักวิชาการ" มองคนพื้นที่กังวล ตั้งคำถามงบประมาณลงมาจำนวนมาก ทหารมีกองกำลังสนับสนุน แต่จับผู้ก่อเหตุไม่ได้
แกะรอยแผนโจรกรรม แผนปล้นร้านทองสุไหงโกลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 68 ช่วงค่ำ ตำรวจได้รับแจ้งคนร้ายบุกปล้นทอง และยิงเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ วันเกิดเหตุคนร้ายจอดรถยนต์กระบะ 2 คัน ที่ปล้นมาจากชาวบ้านในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี ไว้ที่บริเวณถนนใหญ่ทางเข้าห้าง
จากนั้นคนร้าย 1 ใน 10 คน ได้ลงมาจากรถพร้อมเดินไปควบคุม รปภ.ที่ทำหน้าที่อยู่บริเวณปากทางเข้าห้าง จากนั้นคนร้ายที่เหลือได้ลงจากรถเดินเข้าไปควบคุมตัว รปภ. ที่ยืนตรวจรถอยู่ที่บริเวณป้อมยามด้านในจำนวน 4- 5 คน
ก่อนคนร้ายเดินเข้าไปในห้างพร้อมประกาศให้ประชาชนที่เดินหาซื้อสินค้าภายในห้างให้อยู่ในความสงบ แล้วคนร้ายได้เดินไปร้านทองใช้บั้นท้ายปืนทุบกระจกตู้โชว์ทองรูปพรรณ ได้สร้อยทองไปจำนวน 600บาท โดยมีคนร้าย 2 คน ยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูทางเข้าห้าง คนร้ายใช้เวลาปฏิบัติการเพียง 10 นาที
...
ขณะที่คนร้ายอีกชุดซึ่งขี่และซ้อนท้ายรถ จยย. ได้นำวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดจำนวน 3 ลูก ไปวางตามจุดต่างๆ แต่เกิดระเบิดขึ้นเพียง 2 จุด คือที่บริเวณโคนเสาไฟฟ้าเกาะกลางถนนเส้นทางสุไหงโกลก-สุไหงปาดี ช่วงบริเวณบ้านโคกสยา ต.ปะลุรู ทำให้เสาไฟฟ้าหักขวางถนน และที่บริเวณเสาปูนซีเมนต์กั้นทางรถไฟในชุมชนโต๊ะลือเบ ซอย 6 ทำให้เสาปูนซีเมนต์เสียหาย 1 ต้น
ต่อมาพบรถกระบะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุจอดทิ้งไว้ในสวนปาล์มของชาวบ้าน และล่าสุดมีรายงานว่ากลุ่มคนร้ายได้หลบหนีข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ด้านโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างสถานการณ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนเจตนาที่ชัดเจนของผู้ก่อเหตุในการใช้ความรุนแรงเพื่อหวังประโยชน์ทางการเงิน เพื่อมาหล่อเลี้ยงกลุ่มขบวนการของตน โดยมิได้คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและระบบเศรษฐกิจในพื้นที่
ผลกระทบในพื้นที่หลังคนร้ายปล้นร้านทองสุไหงโกลก
ด้วยพฤติกรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีการวางแผนและแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่มีการสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม BRN แต่สำหรับ รองศาสตราจารย์ เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วิเคราะห์ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า 1.การที่กองทัพแถลงว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม BRN ถือเป็นการด่วนสรุปเกินไป
2.ถ้าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของกองทัพ นั่นหมายความว่า มีเป้าหมายการก่อเหตุเพื่อลักทรัพย์ หรือเป็นการปล้นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบ 21 ปี ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ นั่นหมายความว่าการปล้นทองที่สุไหงโกลกครั้งนี้ กลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐที่ใช้วิธีการแบบนี้ในการปล้นทรัพย์ และเป็นการกระทำของกลุ่มบุคคลที่ไม่มีอุดมการณ์ ซึ่งเหมือนถูกลดทอนลงไป เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่เหมือนเช่นเดิม เหมือนในช่วงเหตุการณ์แรกๆ ที่คุณทักษิณออกมาพูดว่าเป็นโจรกระจอก
การให้ข่าวของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผมคิดว่าควรให้ข่าวอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าไม่ใช่การก่อเหตุของกลุ่ม BRN กระทำ จะเกิดการตอบโต้อีกแบบหนึ่ง ดังนั้น งานทางการเมืองของกองทัพตอนนี้ต้องมีการสื่อสารเพื่อไม่ให้สถานการณ์ในพื้นที่แย่ลง เพราะประชาชนในพื้นที่จะได้รับความเดือดร้อน และควรใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้
...
ถ้าลองวิเคราะห์มองสถานการณ์ในพื้นที่ ก็เกิดคำถามว่าทำไมทหารจับกุมคนร้ายไม่ได้ ทั้งที่มีทรัพยากรเต็มไม้เต็มมือ ทั้งบุคลากร กล้องวงจรปิด และมีกองกำลัง รวมถึงมีภารกิจที่จะป้องกันและปราบปราม สิ่งนี้สะท้อนถึงความล้มเหลวของทหาร ว่าทำไมจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
จากการวิเคราะห์การกระทำของผู้ก่อเหตุสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติการแบบมืออาชีพ 2.มีการปฏิบัติการที่อาศัยกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าไปบุกร้านทองประมาณ 8 คน และกลุ่มคอยดูลาดเลาอยู่ภายนอกตามจุดต่างๆ นั่นแสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนแบบมืออาชีพอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นใคร หรือกลุ่มไหนที่ก่อเหตุ
การปล้นลักษณะนี้ ถ้าเป็นกลุ่ม BRN จริง ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งไม่กี่วันมานี้ก็มีการปล้นร้านทองลักษณะนี้ในพื้นที่ แต่คนร้ายก็ถูกจับได้
ล่าสุดมีรายงานว่ากลุ่มคนร้ายหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รองศาสตราจารย์ เอกรินทร์ มองว่า ด้วยความที่ในพื้นที่ริมชายแดน มีช่องทางธรรมชาติที่จะข้ามไปยังมาเลเซีย หลายจุด แต่คำถามที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่เหมือนจะมีเบาะแสเกือบทุกอย่าง แต่ทำไมไม่สามารถจับคนร้ายได้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีใครตรวจสอบกองทัพว่ามีการทำงานที่มีประสิทธิภาพหรือไม่
...
งบความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ละปีมีจำนวนมาก แต่ทำไมเราไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายแบบนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดการตั้งคำถามกับการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิต ท่ามกลางความหวาดระแวงกับเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นครั้งใหม่