รัฐบาลสหรัฐ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” คาดสะดุด 1 ไตรมาส จีดีพีสหรัฐร่วงกว่า 1% ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ส่วนทองคำสัญญาณบวกยาว

รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) คาดเกินหนึ่งไตรมาส กระทบจีดีพีสหรัฐกว่า 1% ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก การค้าโลกและเศรษฐกิจไทย วิกฤติหนี้สาธารณะสหรัฐฯ กดดันเงินดอลลาร์และตลาดการเงินโลก ราคาทองคำอาจทดสอบ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้กลางปีหน้า


รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะมหาศาลและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการทำงบประมาณขาดดุล ความจำเป็นในการขยับเพดานหนี้สาธารณะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 37 ล้านล้านดอลลาร์

แม้สหรัฐฯ จะลดขนาดขององค์กรรัฐ ตัดลดงบประมาณหลายด้าน และเพิ่มรายได้จากการเก็บภาษีศุลกากร แต่รายจ่ายก้อนใหญ่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข โครงการ ObamaCare มีความขัดแย้งในการจัดสรรงบระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน และไม่สามารถมีข้อสรุปในการจัดสรรงบประมาณร่วมกันได้ ทำให้ต้องมีการปิดที่ทำการหน่วยงานของรัฐบาลชั่วคราว สถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 1976 เกิดการปิดทำการหน่วยงานรัฐ หรือ Government shutdown มาแล้ว 11 ครั้ง

...

โดยครั้งยาวที่สุดคือ 35 วัน (ปลาย ค.ศ. 2018 – ต้น ค.ศ. 2019) ซึ่งทำให้ Real GDP หดตัวชั่วคราวประมาณ 0.3 เปอร์เซ็นต์ และเศรษฐกิจสูญเสียราว 11 พันล้านดอลลาร์ โดย 3 พันล้านดอลลาร์สูญหายถาวร (CBO 2019) 

ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจมีการประเมินโดยนักวิเคราะห์ในตลาดการเงินว่า ทุกสัปดาห์ของ shutdown ลด GDP 0.1 เปอร์เซ็นต์ (7 พันล้านดอลลาร์) และหากยืดเยื้อทั้งไตรมาส อาจกด GDP ลงได้มากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ผลกระทบหลักคือการเลื่อนการเบิกจ่าย เกิดความล่าช้าและชะงักงันในการขอใบอนุญาตของรัฐ ข้าราชการหลายแสนคนถูกพักงานและสูญเสียรายได้ชั่วคราว รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อการวางแผนนโยบายและตัดสินใจลงทุนเผยแพร่ล่าช้า

หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก โดยสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าหนี้ต่างประเทศใหญ่ที่สุดในโลก และหนี้เหล่านี้ถือครองโดยนักลงทุนทั่วโลก หากเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ อย่างหนักเมื่อไหร่ โอกาสเกิดวิกฤตการณ์ตลาดการเงินโลก และวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกแบบทศวรรษ 1930 มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ภาวะดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่มันจะค่อยๆ สะสมปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ และปะทุขึ้นในที่สุด


รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการประเมินเบื้องต้นของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล DEIIT คาดว่า การเกิด US Government Shutdown ครั้งนี้มีโอกาสยืดเยื้อสูง

ประกอบกับระบบเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอยู่แล้ว หากมีการปิดทำการของหน่วยงานของรัฐเกิน 1 ไตรมาส จะทำให้จีดีพีสหรัฐฯ ลดลงไม่ต่ำกว่า 1% โดยการลดลงของจีดีพีสหรัฐฯ ในระดับดังกล่าว จะส่งแรงกดดันต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และแน่นอน ย่อมซ้ำเติมต่อภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มความเสี่ยงและความผันผวนต่อตลาดการเงินทั่วโลก กรณียืดเยื้อจะเพิ่มความผันผวน ความเสี่ยงที่สหรัฐอเมริกาอาจถูกปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือลงได้อีกในอนาคต และทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงอีก ภาวะดังกล่าวจะทำให้การใช้มาตรการผ่อนคลายการเงินและการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีข้อจำกัดมากขึ้น

ดร. ภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การเกิด government shutdown ไม่ได้สะท้อนว่าสหรัฐฯ “ล้มละลาย” แต่เป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองในคองเกรส ที่ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณหรือมาตรการขยายเวลา (Continuing Resolution) ได้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณ 30 ก.ย. 2025 ทำให้หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้มีภารกิจสำคัญหรือภารกิจหลักต้องหยุดชั่วคราว ขณะที่บริการหลัก เช่น กลาโหม ความมั่นคง และการแพทย์ฉุกเฉินยังคงดำเนินต่อ และมองว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดการเงินโลกต่อไป

...


ทองคำ มีแนวโน้มบวกถึงปีหน้า


รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ผลกระทบของ U.S. government shutdown ต่อตลาดการเงิน ยิ่งทำให้มีการโยกเงินมาลงทุนในตลาดทองคำเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้อีกในระยะต่อไป แต่อาจจะมีการปรับฐานเป็นระยะจากการทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุน

หรือมีการปรับฐานหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการลดดอกเบี้ย การปรับฐานของราคาจะเกิดก่อนที่ราคาทองคำจะทดสอบจุดสูงสุดใหม่ ในช่วงไตรมาสสี่ ปี 2025–กลางปี 2026 Goldman Sachs และ J.P. Morgan คาดว่าราคาทองคำยังมีทิศทางขาขึ้นต่อ มีโอกาสแตะระดับ 3,900–4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้อาจมีการพักฐานระหว่างทาง ราคาทองคำโลก (XAU/USD) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,860–3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แรงหนุนจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ–การเมือง เช่น ความเสี่ยง Government Shutdown ของสหรัฐ

...

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกและกองทุน ETF ยังซื้อทองคำต่อเนื่อง ส่งแรงหนุนเชิงโครงสร้างต่อราคา ขณะที่ราคาทองในประเทศปรับขึ้นตามตลาดโลก โดยยังมีแรงซื้อจากผู้บริโภคและนักลงทุน 

แม้ราคาสูงขึ้นแล้ว แต่มีความกังวลจากแผนภาครัฐที่จะเก็บภาษีการซื้อขายทองคำเพื่อชะลอเงินบาทแข็งค่า ซึ่งภาคเอกชนคัดค้าน เนื่องจากอาจกระทบสถานะไทยในฐานะศูนย์กลางทองคำภูมิภาค การเก็บภาษีซื้อขายทองคำก็ไม่สามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ระดับหนึ่ง