ยาแพง พาณิชย์คุมเพดานราคา รพ.เอกชน ให้คนไข้นำใบสั่งยาไปซื้อนอก รพ. "กลุ่มประกันสุขภาพ” ชี้แก้ปลายเหตุ ทางออกใช้ยาเลียนแบบ ถูกกว่าประสิทธิภาพเท่ากัน ดันขึ้นทะเบียนยาหลัก ขออย่าติดที่ผลประโยชน์
หลังนายกฯ แถลงนโยบายรัฐบาล ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เผยแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ ดูแลค่าครองชีพ โดยแผนดำเนินการราคายา MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน ไม่จำเป็นจะต้องยอมรับค่าใช้จ่ายทันที ประชาชนสามารถไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนในสมาคม ทั้งหมด 330 แห่ง แบ่งออกเป็น 11 เครือ ตอนนี้ได้มีการตกลงร่วมโครงการแล้ว 5 เครือประมาณ 110 แห่ง จะมีการประชุมเพิ่มเติมวันที่ 7 ตุลาคม 2568 คาดว่าจะได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
ผู้ที่ทำงานด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่าง นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า นโยบายที่กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับโรงพยาบาลเอกชน ยังถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่ใช่การแก้ปัญหาราคายาแพงอย่างระยะยาว
...
การที่ให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชน สามารถนำใบสั่งยาที่หมอให้มาไปซื้อยาในร้านยาภายนอกได้ ก็อาจลดราคายาได้ไม่มาก แต่ในระยะยาวรัฐบาลต้องมีการเข้าไปคุมราคากลางของยา และมีการขึ้นทะเบียนยาเลียนแบบ (generic drugs) มีการดัดแปลงพัฒนามาจากยาต้นแบบ (original drugs) ที่มีราคาสูง เนื่องจากยาเลียนแบบบางตัวก็มีฤทธิ์ในการรักษาคนไข้ไม่แตกต่างกัน แถมราคายังถูกกว่ายาต้นแบบที่ราคาสูง
ยาใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี ผลข้างเคียงน้อย และควรเอาไปทดแทนยาเดิมในบัญชียาหลัก ซึ่งกลไกนี้ อย.ควรจะมีส่วนเข้ามาในการพิจารณามากขึ้น
การแก้ปัญหายาแพง ควรจะดำเนินการในภาพรวมทั้งระบบโดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน เพราะอย่างตอนนี้ที่กรมบัญชีกลางออกนโยบายออกมา ให้มีลิมิตการจ่ายราคายา และให้ข้าราชการมีส่วนในการจ่ายยาบางอย่าง ซึ่งโรงพยาบาลหลายแห่งมีการสั่งซื้อยาต้นแบบ (original drugs) ที่มีราคาแพงมากกว่ายาเลียนแบบ (generic drugs) ที่มีราคาถูกกว่า สิ่งนี้ทำให้ข้าราชการต้องจ่ายค่ายาแพงด้วยเช่นกัน
การใช้ยาเลียนแบบ (generic drugs) ต้องมีการสร้างความเข้าใจว่ายาเหล่านี้ไม่ใช่ยาที่ด้อยคุณภาพ เพราะยาที่ออกมาต้องมีประสิทธิภาพในการรักษาเหมือนกัน เพราะมีการใช้สารเคมีตัวเดียวกันกับยาต้นแบบ (original drugs) มีประสิทธิภาพการรักษาเทียบเท่ากัน
เทียบราคายาแพง ยาต้นแบบ กับยาเลียนแบบ
นิมิตร์ อธิบายให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ กล่าวว่า ยาต้นแบบ กับยาเลียนแบบ มีราคาที่ต่างกันมาก เช่น ยาพาราเซตามอล ถ้าไปซื้อยี่ห้อซาร่า เม็ดละ 7 บาท แต่ถ้าเป็นยาเลียนแบบของพาราเซตามอล เม็ดละ 10 สต. ซึ่งมียาอีกหลายชนิดที่เป็นในลักษณะนี้จำนวนมาก
ขณะที่ยาใหม่ที่มีการปรับปรุงจากตัวเก่านิดหน่อย ตามเทคนิคการตลาดของบริษัทขายยา แต่ก็เคลมว่าเป็นยาใหม่ ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลัก แต่ก็มีการจูงใจให้ผู้ที่ซื้อรู้สึกว่าเป็นยาใหม่ โดยมีการปรับเรื่องสีและขนาด หรือโฆษณาว่าผลข้างเคียงน้อยกว่า ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อยาที่แพงกว่าเดิม
กองทุนสุขภาพแห่งชาติต้องจ่ายเงินค่ายารวมอยู่ในค่ารักษา แล้วสิทธิเริ่มต้นถูกกำหนดไว้ว่าต้องใช้ยาในบัญชียาหลักก่อน เมื่อผู้ป่วยต้องใช้ยาราคาแพง แต่เป็นยาที่มีความสำคัญ จะใช้ระบบการจัดซื้อรวม โดยมีการต่อรองตรงกลาง แล้วซื้อรวมทีเดียวในราคาที่ถูกลง แล้วส่งไปให้กับผู้ใช้ในแต่ละโรงพยาบาล
ประชาชนมีสิทธิที่จะใช้ยาในการรักษาพยาบาลตามสิทธิยาหลักที่มีคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม ดังนั้น ถ้าจะต้องเข้าโรงพยาบาล และหมอทำการสั่งจ่ายยา เบื้องต้นให้ถามหมอก่อนเลยว่า ยาที่จ่ายให้อยู่ในบัญชียาหลัก หรือว่าอยู่นอกบัญชี ถ้าอยู่นอกบัญชีให้บอกหมอที่กำลังทำการรักษาในห้องตรวจ ว่าให้ขอสั่งจ่ายยาที่อยู่ในบัญชียาหลักว่าเราไม่พร้อมจ่ายเงินให้กับยานอกบัญชี แต่ถ้าหมอบอกว่าไม่มี หาไม่ได้ ก็ต้องให้หมอระบุมาว่าไม่สามารถหายาที่อยู่ในบัญชียาหลักได้ เมื่อหมอระบุแบบนี้ ยาที่อยู่นอกบัญชีจะถูกบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์ ทำให้คนไข้ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
...
กลไกยาแพง ระบบการตลาดผูกขาด
ด้าน ชมรมเภสัชชนบท โพสต์ในเพจว่า อุปสรรคต่อ Price Transparency ต่อให้มีระบบเทียบราคา (ของกรมการค้าภายใน) แต่ถ้า Prescription ถูกผูกขาดไว้ที่ รพ. ผู้ป่วยก็ “ไม่มีทางเลือกใช้ข้อมูล”Transparency จะไร้ผลถ้าไม่มี Freedom to Choose
ยาปฏิชีวนะกลุ่ม penicillin ยอดนิยมตัวหนึ่งที่มักใช้แทน amoxicillin บ่อยๆ ในโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งราคาเพียง 28–35 บาท แต่ในโรงพยาบาลเชนใหญ่ ราคาสูงถึง 200 – 300 กว่าบาทต่อเม็ด
...
#ทำไมยาเดียวกันแต่ต่างโรงพยาบาลราคายาจึงต่างกันได้มากขนาดนี้
บทเรียน : อุปสรรคต่อ Price Transparency
ต่อให้มีระบบเทียบราคา (ของกรมการค้าภายใน) แต่ถ้า Prescription ถูกผูกขาดไว้ที่ รพ. ผู้ป่วยก็ “ไม่มีทางเลือกใช้ข้อมูล” Transparency จะไร้ผลถ้าไม่มี Freedom to Choose
ข้อมูลราคายาที่เข้าถึงยาก เว็บไซต์ของรัฐที่ใช้ในการค้นหาพบว่ามักจะล่มหรือใช้งานยาก → ผู้ป่วยไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง หรือจะกล่าวแบบสรุปคือ การเข้าไปสืบค้นข้อมูลราคายาในปัจจุบัน #ข้อมูลไม่ครอบคลุมไม่อัปเดตเรียลไทม์ใช้งานยากและไม่มีอำนาจบังคับใช้จริง
1.การเข้าถึงยาก
ประชาชนทั่วไปยังไม่รู้ว่ามีระบบนี้อยู่ (การสื่อสารสาธารณะน้อยมาก) เว็บไซต์/แอปพลิเคชันใช้งานยาก ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ (User Interface ซับซ้อน) การกรอกชื่อยา/บริการต้องตรงตามระบบ ไม่รองรับการค้นหาด้วยคำใกล้เคียง ไม่มีข้อมูลเรื่อง "ยี่ห้อ" หรือ "ขนาดบรรจุ" ที่แตกต่างกันในตลาด
...
2.ข้อมูลไม่ Real-time และไม่ Update บ่อย โดยราคาที่แสดงเป็นราคาที่ รพ. แจ้งต่อกรมฯ ซึ่งอาจไม่ตรงกับราคาหน้าเคาน์เตอร์จริง อาจเกิดกรณี “ราคาในระบบถูกกว่า แต่ราคาที่คิดจริงแพงกว่า” ความถี่ในการปรับปรุงข้อมูลไม่แน่นอน → ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงและไม่ครอบคลุมต้นทุนจริง
3.ขาดกลไกบังคับใช้ (No Enforcement) รพ.เอกชนไม่ถูกบังคับให้ขายตามราคาที่แจ้งไว้ เพียง “รายงานให้ทราบ” เท่านั้น หากประชาชนเจอราคาจริงไม่ตรงกับระบบ ก็ร้องเรียนได้ยาก และไม่มีโทษที่ชัดเจน
การเปรียบเทียบยังไม่สะดวก
4.ความรู้ของผู้ใช้ (Patient Literacy) ประชาชนทั่วไปไม่คุ้นเคยกับชื่อยาทางการแพทย์ ไม่รู้จะพิมพ์ว่าอะไร ไม่สามารถใช้ข้อมูลไปเจรจากับโรงพยาบาลได้ เพราะไม่มีอำนาจต่อรอง