ลุ่มน้ำเจ้าพระยาล้น เขื่อนตอนบนใกล้เต็มความจุ คาดน้ำไหลเร็ว 3 วัน ถึงปทุมธานี-กรุงเทพฯ เตือนฝนเติมน้ำพื้นที่ชั้นใน ส่วนชี-มูล คาดน้ำสูงไหลเข้าตัวเมืองอุบลราชธานี ชี้ปลายตุลาคม มวลน้ำทุกพื้นที่จะลดระดับ
สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เหนือเขื่อน จ.นครสวรรค์ เร่งระบายน้ำส่งผลต่อพื้นที่จังหวัดท้ายเขื่อน ฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) อธิบายกับทีมข่าวเฉพาะกิจ ไทยรัฐออนไลน์ว่า ขณะนี้วันที่ 2 ต.ค. 68 ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเข้าสู่วิกฤติจากปริมาณน้ำเหนือไหลบ่าเข้ามารวดเร็ว ได้รับอิทธิพลจากร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้มีฝนตกหนักช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์
จากการคาดการณ์เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีโอกาสที่จะรองรับน้ำเต็มเขื่อน ส่วนเขื่อนภูมิพล มีโอกาสที่น้ำสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากฝนช่วงที่ผ่านมาตกหนักในพื้นที่เชียงใหม่ ตอนนี้น้ำที่ไหลผ่านสถานีน้ำบริเวณสะพานนวรัฐ อยู่ที่ 300 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
...
มวลน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนนี้ (2 ต.ค.68) ผ่านพื้นที่ จ.นครสวรรค์ เกือบ 2,700 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ทำให้เขื่อนรับปริมาณน้ำไม่ไหว เพราะที่ผ่านมาเขื่อนรับน้ำอยู่ที่ 2,300 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตอนนี้ต้องปรับแผนการระบายน้ำเพิ่มตามกรอบที่ขออนุมัติไว้ คาดการณ์ว่าต่อจากนี้มีมวลน้ำไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ เกือบ 3,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
หลังจากนี้ด้วยมวลน้ำที่เอ่อท้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน ตั้งแต่ ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี และปทุมธานี
การติดตามการไหลของมวลน้ำเหนือ ตอนนี้ (2 ต.ค.68) ไหลผ่านนครสวรรค์ โดยการไหลบ่าของน้ำเหนือรอบนี้รวดเร็ว คาดว่าอีก 1 วัน ไหลบ่าเข้าพื้นที่พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากปริมาณน้ำรอบนี้สูงทำให้ความรวดเร็วของน้ำหลากจะเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และอีก 2 – 3 วัน (ประมาณวันที่ 6 -7 ต.ค. 68) มวลน้ำจะถึงปทุมธานี กรุงเทพฯ
พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา คันดินและพื้นที่ริมน้ำส่วนใหญ่รับน้ำได้ประมาณ 3,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จึงอยากแจ้งเตือนประชาชนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ริมตลิ่งเป็นคันดินที่ไม่ได้เสริมคอนกรีต หรือคันดินที่กั้นมีความสูงน้อยควรมีการเสริมคันดิน เพื่อรองรับกับสถานการณ์น้ำเอ่อท้นในสัปดาห์หน้า
กรุงเทพฯ ความเสี่ยงรองรับน้ำท่วม
กรุงเทพฯ รองรับปริมาณน้ำเหนือที่ไหลบ่าอย่างรวดเร็ว ฐนโรจน์ เล่าว่า ปกติ กทม.รองรับปริมาณน้ำได้3,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที หรือบางช่วงรองรับน้ำได้ถึง 4,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่ชุมชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ จะได้รับผลกระทบแน่นอน ส่วนพื้นที่ กทม. ที่อยู่ภายในคันกั้นน้ำ จะป้องกันน้ำท่วมได้ แต่ต้องมีการดำเนินการปิดท่อ ป้องกันน้ำที่ไหลย้อนผ่านท่อเข้ามาในเมืองชั้นใน
จากการประเมิน คาดว่ามวลน้ำเหนือ ไหลผ่านพื้นที่กรุงเทพฯ ไปหมดช่วงปลายเดือน ต.ค. 68 เพราะยังมีน้ำเหนือตกค้างอยู่ และมีอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำ รวมถึงอิทธิพลของดีเปรสชั่นที่แม้ตอนนี้อยู่ในพื้นที่ฟิลิปปินส์ แต่มีโอกาสที่ไทยได้รับอิทธิพลจากฝน จากการคาดการณ์ ภาคเหนือตอนบนจะได้รับอิทธิพลเต็มๆ ตั้งแต่น่าน พะเยา เชียงราย และเชียงใหม่
...
สำหรับประเด็นที่มองว่าปริมาณน้ำเหนือปีนี้มากเท่ากับปี 2554 ความจริงแล้ว ปริมาณน้ำปีนี้ยังน้อยกว่ามาก แต่อาจมีอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนในพื้นที่กรุงเทพฯ
ส่วนทุ่งรับน้ำในพื้นที่อยุธยา สามารถรับปริมาณน้ำเพิ่มได้ เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดการน้ำของผู้ที่อยู่อาศัยภายนอกคันรับน้ำ ที่เป็นทุ่งของเกษตรกร ในการเก็บผลผลิตก่อน
ลุ่มน้ำชี-มูล ยังได้รับอิทธิพลน้ำเอ่อสูง
...
สำหรับพื้นที่อีสาน บริเวณลุ่มน้ำมูล-ชี "ฐนโรจน์" มองว่า ตอนนี้ในลำน้ำสาขาได้รับอิทธิพลจากฝนตก ทำให้มีน้ำสูงขึ้น และทำให้มวลน้ำหลากลงมารวมกันที่อุบลราชธานี คาดการณ์ว่ามวลน้ำจะอยู่ที่ 3,200ลูกบาศก์เมตร/วินาที น้ำจะล้นตลิ่งไหลไปยังตัวเมืองอุบลราชธานี
พื้นที่น้ำท่วมอุบลราชธานี กว่าน้ำจะไหลผ่านไปทั้งหมดต้องใช้เวลา เพราะเป็นลุ่มน้ำขนาดใหญ่ อย่างน้อยใช้เวลา 15 วัน ซึ่งจะกินเวลาที่มวลน้ำจะไหลผ่านไปทั้งหมดเสร็จสิ้นช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้
ภาพ ธนัท ชยพัทธฤทธี
...