แก้ยาแพง "ชมรมเภสัชชนบท” เปิดจดหมายวอนรัฐบาลคุมราคายา รพ.เอกชน เสนอทางแก้ จัดซื้อราคากลาง ถ้ามีคนไข้ใช้จำนวนมาก ลดราคาอยู่ในเพดานเหมาะสม
วันนี้ (1 ต.ค.68) ชมรมเภสัชชนบท มีการโพสต์หนังสือเปิดผนึกถึงนายกฯ เรื่องการแก้ปัญหายาแพงในเพจว่า “คุมราคายา-เวชภัณฑ์” ไม่น่าใช่ first priority ของฝ่ายการเมืองในเชิงเศรษฐกิจมหภาค ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทย (รวมทั้งรัฐ-เอกชน) ประมาณ 4–5% ของ GDP ในนี้ “ค่ายาและเวชภัณฑ์ใน รพ.เอกชนเป็นเพียงเศษเสี้ยวหลักไม่กี่หมื่นล้านบาท/ปี เมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจรวมหลายสิบล้านล้านบาท เป็นไปได้ว่าอาจจะตอบโจทย์ Good politics - Low economic impact ของฝ่ายการเมืองที่(คาดว่า)จะมีอายุ 4 เดือน
แต่อย่างไรก็ตาม การควบคุมราคายา รพ.เอกชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยทำมาก่อนแต่ไม่เคยสำเร็จ ดังนั้นอาจจะเป็นความท้าทายที่จะทำให้สำเร็จ ในรัฐบาลชุดนี้เพื่อความหวังสมัยหน้าของรัฐบาล
...
ความจริงตลอด 10–20 ปีที่ผ่านมา ยา เป็นสินค้าควบคุม ตาม พ.ร.บ.ควบคุมราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 การเป็นเจ้าภาพดำเนินการระหว่างกรมการค้าภายใน กับ อย. ยังมี GAP เช่น กรมการค้าภายในมองว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านยา ขณะที่ ภารกิจ อย.ดูเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัยไม่ใช่ราคา
ความเป็นจริงเรื่องราคายา
ตลาดยามีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าสินค้าทั่วไป เทียบกับรายการสินค้าใน พ.ร.บ.ควบคุมสินค้าและบริการ โดยราคาหน้าโรงงาน ไม่ได้เท่ากับราคาที่รพ.ขาย เพราะมี margin อีกหลายชั้น (ผู้นำเข้า, distributor, โรงพยาบาล)
เมื่อมี margin หลายชั้นแล้วจะคุมตรงไหน ถ้าคุมจากที่ต้นทางรพ.ก็ยังบวก margin ได้ ถ้าคุมปลายทางเอกชนจะอ้างต้นทุนแฝงทั้ง stock, cold chain, R&D ไปจนถึงค่าบริการแพทย์
จะเกิดอะไรขึ้น
...
โรงพยาบาลเอกชนระดับ top 5 คือบริษัทจดทะเบียน มีกำไรจากค่ายาเวชภัณฑ์เป็นอีกรายได้หลัก เมื่อรัฐบังคับคุมราคาจริง จะกระทบโดยตรง และเกิดการ lobby อย่างหนักมาก ซึ่งภาพลักษณะนี้เป็นปกติ ฝ่ายการเมืองรู้ถึง Scenario นี้อยู่แล้ว
ถ้าจะคุมจริงต้องทำยังไง
...
ชมรมเภสัชชนบทถอดบทเรียนและจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล
1. เสนอให้รัฐบาลโดยกรมการค้าภายในและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้กลไกราคากลาง (Reference Pricing)
1.1 อย. จัดทำ list ยาที่จำเป็น Essential Medicines
1.2 กรมการค้าภายใน กำหนดราคากลางและเพดานกำไร
...
เช่น กำหนดรายการยา generic จำนวน 100 รายการที่แพทย์สั่งใช้กับคนใช้จำนวนมาก ต้องขายไม่เกิน xxxxx % ของราคากลาง reference price
2. รัฐบาลโดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้ข้อกำหนดอย่างจริงจัง ที่รพ.เอกชนต้องออกทางเลือกให้ใบสั่งยาและให้ผู้ป่วยเลือกซื้อจากร้านยาได้ ส่วนนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด โดยไม่ต้องไปคุมราคา
3. ราคาที่ฉลาก โดยที่ประชาชนตรวจสอบได้ว่า ยาตัวนี้มีเพดานราคาเท่าไหร่ ถ้า รพ.ขายแพงกว่ามาก ต้องมีเหตุผลชี้แจง Price Transparency ต้องดำเนินการโดยมีฐานข้อมูลกลาง รวบรวมข้อมูลและให้ผู้ป่วยเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง
4. บังคับใช้เป็น Phase โดย ระยะที่ 1: ยาที่ใช้บ่อยที่สุด 100 รายการ / ระยะที่ 2: เวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือ เข็ม ผ้าก๊อซ ฯลฯ ระยะที่ 3 ยากลุ่มโรคเรื้อรังที่มียา generic แล้ว โดยเฉพาะเบาหวาน ความดัน ไขมัน ข้อนี้จะสะท้อนความรอบคอบและไม่สร้างภาระและไม่กระทบกับ supply chain
แนวคิดรัฐบาลโดย รมต.ศุภจี น่าสนใจ ถูกทิศทางและสอดคล้องกับแนวโน้มสากล แต่ต้องทำแบบรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบ supply chain หรือทำให้โรงพยาบาลเอกชนปรับราคาอย่างอื่นแทน ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยอาจไม่เห็นประโยชน์จริงเท่าที่คาดหวัง ความท้าทายคือ 4 เดือนกับการควบคุมราคา อย่างน้อยระยะที่ 1 เกิดขึ้นก็น่าจะพอทำให้เป็นแรงดีด มีแรงสนับสนุนในการทำงานครั้งหน้าต่อไป