พิรุธมวลชนกัมพูชา แนวปะทะบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เดินเกมแนวร่วม 3 ขา ทหารบ้าน-ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น "นักวิชาการ” ชี้พื้นที่ไทย 100% ควรเร่งจัดการก่อนถูกกลืน

เหตุมวลชนชาวกัมพูชา เข้ามาประท้วงในพื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจานใน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยข้อมูล กองทัพบกไทยระบุว่า พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วอยู่ระหว่างหลักเขตที่ 42-43 ส่วนบ้านหนองจานอยู่ระหว่างหลักเขตที่ 46-47


โดยวันนี้ 19 ก.ย.68 กองกำลังบูรพา ออกแถลงว่า มาตรการที่ได้ดำเนินการ รวมถึงการติดตั้งแนวป้องกันนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น มิได้มีเจตนาใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงแนวเขตแดนหรือยกระดับความตึงเครียดให้รุนแรงขึ้น กองกำลังบูรพาได้ปฏิบัติด้วยความอดกลั้นสูงสุด และรักษามาตรฐานความเป็นมืออาชีพ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลาย พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งบรรยากาศแห่งสันติภาพตามแนวชายแดน

...


กองกำลังบูรพายังคงประสานงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี


พื้นที่ไทยชัดเจน ม็อบกัมพูชา รุกล้ำดินแดน


กองทัพบกไทย ยืนยันถึงจุดที่มวลชนของกัมพูชา รุกล้ำเข้ามาประท้วงในพื้นที่อธิปไตยไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว รองศาสตราจารย์ ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า กรณีที่เกิดขึ้นไทยได้วางรั้วลวดหนามหีบเพลงไว้ในพื้นที่ถัดจากหลักเขต โดยเข้ามาลึกถึงในดินแดนฝั่งไทยชัดเจน เพราะมีการใช้แผนที่ 1:50000 ที่ไทยยึดตามแนวทางของกรมแผนที่ทหาร ส่วนกัมพูชา ยึดตามแผนที่ 1:50000 ที่เวียดนามทำไว้สมัยเข้ามาปกครองกัมพูชา ในระยะเวลาสั้นๆ แต่จุดที่มีการประท้วงก็อยู่ในเขตไทย100%

มวลชนกัมพูชาที่เข้ามาต้องบังคับใช้กฎหมายอาญาในการบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของไทยได้ แต่การที่ไทยไม่เร่งดำเนินการทางกฎหมาย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า พื้นแผ่นดินที่ทางมวลชนของกัมพูชา เข้ามาเป็นพื้นที่ของเขา ทั้งที่จริง ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของไทย คาดว่าฝั่งกัมพูชา ก็ไปปั่นกระแสข้อมูลว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่กัมพูชา


บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เป็นยุทธวิธีที่กัมพูชา พยายามเดินเกม เพราะพื้นที่เป็นที่ราบเปิดโล่ง ผสมกับผืนป่าบางช่วง ไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำ ที่เป็นเขตขวางกั้นอย่างเด่นชัด ถ้าดูจากภาพถ่ายดาวเทียมจะเห็นว่า ฝั่งกัมพูชา จะมีบ้านเรือนตั้งอยู่มากกว่าไทย ทำให้ประชากรของกัมพูชา ก็ต้องการขยายพื้นที่ในการทำมาหากิน ประกอบกับช่วงสงครามเย็น พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจานใน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว มีกลุ่มเขมรแดง เข้ามาลี้ภัยอยู่แล้วบางส่วน ทำให้มีผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ที่ปักหลักในพื้นที่นี้มาก่อน แม้อยู่ในพื้นที่เขตไทย

สิ่งนี้ทำให้การเมืองท้องถิ่นริมชายแดนของกัมพูชา เกี่ยวโยงกับรัฐบาลกลางที่พนมเปญ โดยโครงสร้างการเมืองของกัมพูชา รัฐบาลกลางคือ พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party-CPP) ของสมเด็จฮุนเซน วางเครือข่ายอำนาจตั้งแต่ระดับบนมาถึงท้องถิ่น เช่น ระดับผู้ว่าจังหวัดไปจนถึงระดับกำนัน ที่ต้องฟังคำสั่งจากแกนนำพรรคประชาชนกัมพูชา

...


พิรุธม็อบกัมพูชา ผสมกำลัง 3 ฝ่าย แฝงตัวเป็นประชาชน


รองศาสตราจารย์ ดร.ดุลยภาค วิเคราะห์ว่า ด้วยความที่พื้นที่ชายแดนกัมพูชา มีการเชื่อมโยงกับการเมืองระดับประเทศ ทำให้มีมาเฟียท้องถิ่นหนุนหลัง ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนกัมพูชา(Cambodian People's Party-CPP) ก็ดำเนินแผนหนุนหลัง เลยทำให้ไทยต้องเจอแนวร่วม "3 ขา” ดังนี้

...

1.กลุ่มเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกัมพูชา ที่มีความสัมพันธ์กับพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party-CPP) ของฮุนเซน

2.ชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งเป็นแนวร่วมในพื้นที่

3.กองกำลังในพื้นที่ หรือทหารบ้าน


ม็อบกัมพูชา ที่อยู่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว เลยมีพลัง เพราะแนวร่วม "3 ขา” ที่มีทั้งคนที่ใช้อาวุธเป็น นักการเมืองท้องถิ่น และชาวบ้าน ซึ่งจากที่เห็นคลิป จะเห็นพฤติกรรมชัดเจนการแบ่งหน้าที่ชัดเจน และมีการออกแบบผ่านระบบรัฐราชการของกัมพูชา ในการควบคุมหน่วยงานราชการท้องถิ่น ทำให้ไทยต้องเจอกับปัญหาหนักริมชายแดน

จากการสังเกตพบว่า พระที่มาเข้าร่วมการประท้วงกัมพูชา มีพระจริงกับแนวร่วมที่ใช้อาวุธปลอมเป็นพระ เห็นจากพฤติกรรมที่มีความบ้าบิ่น สันทัดในการใช้อาวุธ ที่มีทักษะในการใช้อาวุธหนัก

แนวร่วม "3 ขา” กลุ่มที่น่ากลัวที่สุดจะเป็นแนวร่วมทหารบ้าน กลุ่มที่เป็นเขมรแดงเดิม และมีความก้าวร้าว แต่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบทหาร แต่แต่งตัวเป็นชาวบ้าน ทำให้หน่วยงานของไทยแยกแยะได้ยาก ส่วนกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ก็น่ากลัว เนื่องจากมีเงินช่วยเหลือเยอะ และมีการช่วยเหลือจาก พรรคประชาชนกัมพูชา

...


การจัดการกับแนวร่วมของกัมพูชา 3 กลุ่มนี้ ต้องใช้หลักการ "เอกภาคี” เพราะที่ผ่านมามีการเจรจาหลายครั้ง แต่กัมพูชา ก็เลือกที่จะใช้กลยุทธ์มวลชนผ่านกลุ่มคน 3 กลุ่มนี้ ดังนั้นหน่วยงานของไทย ต้องจำแนกแต่ละกลุ่มออก และดำเนินคดีให้ชัดเจน เพื่อสร้างความแตกแยกของมวลชน 3 กลุ่มนี้ให้ได้


ไทยไม่มีทางเลือกอื่น ในการขับไล่กัมพูชา ออกจากอธิปไตยไทย ขณะเดียวกันก็ทำการจับกุม ดำเนินคดีไปตามขั้นตอนกฎหมายไทย เป็นผลดีทำให้ไทยสามารถบังคับให้เข้าสู่การเจรจาทวิภาคี แต่ถ้าไทยไม่ทำก็จะเกิดปัญหาตามมา เนื่องจากตรงนั้นเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก ขนาดคนไทยไม่ปฏิบัติตามก็ต้องถูกจับกุม แต่กัมพูชาสามารถทำได้ ซึ่งก็อาจเป็นปัญหาตามมา

สิ่งสำคัญรัฐบาลไทยต้องคำนึงถึงคนท้องถิ่น ที่ส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่พอใจกับกัมพูชา หลายพื้นที่มีโฉนดที่ดิน แต่ไม่สามารถทำกินได้