บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ กำลังเริ่มต้นนับหนึ่งการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 69 นี้ จากเดิมจะครบวาระในปี 70 แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป เกมการยุบสภาฯ จึงถูกบีบให้เกิดเร็วขึ้น 


แม้ว่าขณะนี้ รัฐบาลอนุทินยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการ เหล่าพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ (กลุ่มสุชาติ) และบรรดากลุ่มยิบย่อย กำลังวุ่นอยู่กับการจัดทำโผ ครม. และการเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกพรรคต้องเตรียมแผน เตรียมบุคคลสำหรับการเลือกตั้งที่เร็วกว่าที่คิดไว้มากกว่า 1 ปี


หลังจากมีสัญญาณการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้ง ก็เริ่มมีการจัดทำโพลสอบถามประชาชน การวิเคราะห์จากคนในแวดวงการเมือง คาดการณ์ผลการเลือกตั้ง เก้าอี้ที่นั่งในสภาฯ มากมาย ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงนำมารวบรวมเพื่อแยกกลุ่มพรรคตามขนาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง


กลุ่มพรรคขนาดใหญ่ 100 ที่นั่ง+


ให้คำนิยามกลุ่มนี้ว่า มีโอกาสได้รับเก้าอี้จากการเลือกตั้ง ทั้งระบบแบ่งเขต (400 ที่นั่ง) และบัญชีรายชื่อ (100 ที่นั่ง) รวมกันมากกว่า 100 ที่นั่งขึ้นไป


ในการเลือกตั้งปี 2562 มีเพียง 2 พรรคที่ได้ สส.มากกว่า 100 คน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 136 คน และพรรคพลังประชารัฐ 116 คน โดยพรรคที่ได้อันดับ 1 กลับต้องมาเป็นฝ่ายค้าน จากการชิงจับกลุ่มสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ต่ออีก 4 ปี


ขณะที่การเลือกตั้งปี 2566 ก็มีเพียง 2 พรรคที่ได้ สส. มากกว่า 100 คน ได้แก่ พรรคก้าวไกล 153 คน และพรรคเพื่อไทย 142 คน โดยทั้งคู่พยายามจับมือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่ปรากฏว่าเจอพลังของ สว.ชุดเฉพาะกาล โหวตไม่เอา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องถูกจับแยกไปเป็นฝ่ายค้านแทน

...


สำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงนี้ แน่นอนว่า พรรคส้ม เจเนเรชั่นที่ 3 อย่าง “พรรคประชาชน” โพลทุกสำนักยังยกให้เป็นอันดับที่ 1 แม้ว่าจะยังไม่มีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นรัฐบาล กุมอำนาจฝ่ายบริหารก็ตาม ซึ่ง 100 ที่นั่งสำหรับพรรคส้มคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อยู่ที่ว่า จะคว้าเก้าอี้ได้มากขึ้นกว่าเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2566 ที่ 153 ที่นั่งหรือไม่


ด้าน “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย” ดูแล้วจะเป็นการช่วงชิงอันดับที่ 2 อย่างสนุก พรรคเพื่อไทย เจอกระแสที่ไม่ค่อยดีนัก ทั้งเรื่อง “คลิปเสียง” ทำให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กระเด็นหลุดจากเก้าอี้นายกฯ จากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลายโครงการที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน อาทิ แจกเงิน 10,000 หรือดิจิทัลวอลเล็ต หรือรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีโอกาสจะทำให้สัดส่วน สส. ลดลงมาจากเดิม แต่คาดว่าไม่น่าจะเป็นพรรคต่ำร้อยได้


ส่วน “พรรคภูมิใจไทย” เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 สู่ 2566 รวมถึงโอกาสในการทำคะแนนนิยมด้วยการเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” 4 เดือน เดิมที่ได้ สส. 71 คนจากการเลือกตั้งหนล่าสุด พรรคสีน้ำเงินก็มีโอกาสจะทำ High Score ไปแตะหลัก 100 คนได้ไม่ยาก โดยมีคู่แข่งทางตรงคือ “พรรคเพื่อไทย” ที่เลิกจับมือกันมาตั้งแต่ทางแยกประเด็นเก้าอี้ มท.1 และปมคลิปเสียงแล้ว และคงฟาดฟันกันในสนามเลือกตั้งอย่างดุเดือดที่สุดคู่หนึ่ง


ทั้งพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย จึงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “พรรคขนาดใหญ่” ที่มีโอกาสได้ สส. มากกว่า 100 คน ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่จะถึงนี้ และจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปด้วย


กลุ่มพรรคกลางค่อนใหญ่ < 50 ที่นั่ง


ให้คำนิยามกลุ่มนี้ว่า มีโอกาสได้รับเก้าอี้จากการเลือกตั้ง มากกว่า 30-50 ที่นั่ง เดิมทีการเลือกตั้ง 2562 และ 2566 จะมีพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคแรกเติบโตเป็นกราฟชันขึ้นไปมีโอกาสแตะ 100 แล้ว ขณะที่พรรคหลังเล็กลงอย่างชัดเจน เหลือ สส.เพียง 25 คน จากการเลือกตั้งหนล่าสุด


แต่ทว่า มีพรรคที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ “พรรคกล้าธรรม” ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ สามารถรวมตัวกันในระหว่างสภาฯ ชุดปัจจุบันได้ ดึง สส.จากทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเล็กพรรคน้อยมารวมตัวกันได้กว่า 30 คนแล้ว แถมยังคว้าชัยชนะเลือกตั้งซ่อม จ.นครศรีธรรมราช ได้เป็นสนามแรกอีกด้วย


การเดินเกมการเมืองแบบพรรคกล้าธรรม คาดว่าจะไปเจาะพื้นที่สำคัญได้ในหลายส่วน ทั้งภาคใต้ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดน ภาคเหนือที่มี ร.อ.ธรรมนัส เป็นเจ้าถิ่นเดิม ภาคกลางตอนบน และอีกหลายพื้นที่ จนคาดการณ์ได้ว่า คงจะเป็นพรรคเดียวที่ยืนอยู่ในระดับที่จะมี สส.ถึง 50 คนได้ไม่ยาก และจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจับกลุ่มกับพรรคขนาดใหญ่ เพื่อร่วมรัฐบาลในชุดต่อไปอีกด้วย


กลุ่มพรรคขนาดกลาง < 30 ที่นั่ง


ให้คำนิยามกลุ่มนี้ว่า มีโอกาสได้รับเก้าอี้จาการเลือกตั้ง ราว 15-30 ที่นั่ง จากกระแสนิยมที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าไหร่นัก 3 พรรคที่คาด คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ


เริ่มต้นจาก “พรรคประชาธิปัตย์” อดีตพรรคใหญ่ที่การเลือกตั้ง 2562 ได้ สส. 53 คน พอมาการเลือกตั้ง 2566 เหลือ สส. 25 คน มาเจอเลือดเก่าไหลออก และเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคอีก อีกทั้งพื้นที่จุดแข็งอย่างภาคใต้ ก็ถูกเจาะเป็นรูพรุน โอกาสจะได้ สส.ทะลุเพดาน 30 คนนั้น จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก แต่อาจต้องรอดูว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คัมแบ็กเก้าอี้หัวหน้าพรรคอีกหน อาจจะคว้าแต้มบนเวทีดีเบต หรือการลงพื้นที่เอาใจคนรักพรรคสีฟ้าในช่วงโค้งสุดท้ายก็เป็นไปได้

...


ขณะที่ “พรรคพลังประชารัฐ” เดิมมี สส. 40 คน ลดลงจากการเลือกตั้งปี 2562 กว่า 80 ที่นั่ง อันเนื่องมาจากกลุ่มเอฟซี พล.อ.ประยุทธ์ ย้ายไปเชียร์อีกพรรคหนึ่ง เหลือเพียงแต่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นแม่เหล็กอยู่ ยังมาเจอกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ย้ายออกไปอีก จึงคาดว่าจะได้ สส.ลดน้อยกว่าเดิมอีก คาดว่าจะไม่เกิน 30 ที่นั่ง หรืออาจจะต่ำ 20 ก็เป็นไปได้


ด้าน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” อีกพรรคเฉพาะกิจที่ตั้งมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ สมัยที่ 3 กวาด สส.ไป 36 คน ไม่เพียงพอ จน พล.อ.ประยุทธ์ วางมือจากการเมืองไป แถมมาเจอเลือดไหลออก อย่างนายสุชาติ ชมกลิ่น อีก หากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ยังคงเดินต่อ ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะคาดไอคอนิกคนสำคัญไป และการกระจัดกระจายของคนการเมืองไปอยู่กลุ่มอื่นแทน


กลุ่มพรรคขนาดเล็ก < 15 ที่นั่ง


ให้คำนิยามกลุ่มนี้ว่า มีโอกาสได้รับเก้าอี้จากการเลือกตั้ง ราว 5-15 ที่นั่ง อิงจากการเลือกตั้งครั้งก่อน 2 พรรคที่มีพื้นที่ประจำและฐานเสียงเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ


“พรรคชาติไทยพัฒนา” นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายของอดีตนายกฯ อย่างนายบรรหา ศิลปอาชา ได้เป็นรัฐมนตรีมาตลอดตั้งแต่ปี 2562 และ 2566 เพิ่งจะถูกพลิกขั้วมาเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลนายอนุทิน พูดถึงภาพลักษณ์ไม่ได้มีเรื่องเสียหายทำให้คะแนนติดลบ แต่ก็ไม่ได้มีคะแนนบวกอะไรมากมายนัก นอกจากความสามารถส่วนตัวของนายวราวุธ โดยเฉพาะเวทีโลกที่สปีกอิงลิชได้เป็นอย่างดี จึงคาดว่าจะรักษาฐานที่มั่นของตัวเองในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี นครปฐม และบางพื้นที่ได้ สส.ใกล้เคียงของเดิมที่ทำไว้ที่ 10 คน เท่าเดิม 2 สนามติดต่อกัน

...


“พรรคประชาชาติ” ที่นำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน แม้จะเป็นพรรคเล็ก แต่ก็มีโอกาสได้นั่งประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ หลังมีการยื้อยุดกับอดีตพรรคก้าวไกล จนสุดท้ายส้มหล่นมาที่พรรคนี้ แต่ก็ได้ผู้มากประสบการณ์ ด้วยกระแสที่ไม่ได้พุ่งขึ้นหรือลงมากนัก จึงมีโอกาสรักษาเก้าอี้เดิมเอาไว้ในพื้นที่ประจำอย่าง 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่อาจจะถูกท้าทายจากพรรคอื่นได้ จึงคาดว่าจะมี สส.ใกล้เคียงของเดิม คือ 7 คน และ 9 คน ตามลำดับ โดยอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงเล็กน้อย


กลุ่มพรรคย่อย < 5 ที่นั่ง


ให้คำนิยามกลุ่มนี้ว่า มีโอกาสได้รับเก้าอี้จากการเลือกตั้ง ราว 1-5 ที่นั่ง มีทั้งพรรคเดิม และพรรคใหม่กำลังเข้ามาสู่สนามการเมือง โดยมีการเลือกตั้ง ปี 2569 เป็นด่านแรกที่จะพิสูจน์ตัวเอง


กลุ่มนี้จะประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง ได้แก่ “พรรคไทยสร้างไทย” ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เจองูเห่าตั้งแต่ปีแรกของการจัดตั้งรัฐบาล แถมยังดองงูเห่าตลอดสมัยของสภาฯ จึงไม่ได้มีภาพเชิงบวกอะไรมากนัก เลือกตั้งครั้งต่อไปจะคว้าเก้าอี้มากกว่าเดิมคงเป็นไปได้ยากมาก ต่อด้วย “พรรคชาติพัฒนา” ที่นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ บทบาทที่น้อยมากตามขนาดของพรรค ก็อาจจะส่งผลให้ยังมี สส.ใกล้เคียงของเดิมและไม่เกิน 5 คน


ต่อด้วย “พรรคเป็นธรรม” ที่มี สส. 1 คน คือนายกัณวีร์ สืบแสง ดูมีแอคชั่นในสภาฯ ที่น่าสนใจ เลือกตั้งครั้งหน้า อาจจะมีเพื่อนในพรรคเพิ่มขึ้นมาอีกสักคนก็เป็นไปได้ ด้าน “พรรคไทรวมพลัง” นำโดย กังฟู วสวรรธน์ พวงพรศรี คาดว่าจะรักษาพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ของตัวเองได้ และไม่ได้ขยายต่อไปในพื้นที่อื่นๆ ได้

...


สำหรับ “พรรคเสรีรวมไทย” ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ก็ลดบทบาทไปเยอะ จากมี สส.หลักสิบคนในสนามเลือกตั้งปี 2562 เหลือเพียง 1 คนในการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา แถมยังเป็นงูเห่าด้วย ประกอบกับกระแสที่ลดลงไป คาดว่าอย่างน้อยจะมี 1 เก้าอี้บัญชีรายชื่อ แต่จะทำได้มากกว่านั้นหรือไม่ คงอยู่ที่ตัวผู้นำพรรคเอง


นอกจากนี้ ยังมีพรรคยิบย่อย เช่น "พรรคประชาธิปใหม่" ที่มีนายสุรทิน พิจารณ์ เป็นผู้นำ เป็นพรรคเล็กเพียงไม่กี่พรรคที่ไม่โยกย้ายตัวเองไปรวมกับพรรคกล้าธรรม ก็อาจจะรักษา 1 เสียงในสภาฯ ได้เช่นเดิม รวมถึง “พรรคไทยก้าวใหม่” ที่นำโดย ดร.เอ้ สุชัชชวีร์ ที่ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็คาดว่าจะเจาะพื้นที่ได้ยาก แต่คงมีเสียงปาร์ตี้ลิสต์มาให้ครอบครองได้อย่างน้อย 1 ที่นั่ง


ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ก่อนการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นในอีกครึ่งปีข้างหน้า โดยยังไม่มีการหาเสียง ดีเบตใดๆ โดยนำข้อมูลจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า กระแสในปัจจุบัน ผลโพลจากหลายสำนักมารวบรวม ซึ่งอาจจะต้องมาวิเคราะห์กันอีกเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้ง เพราะปัจจัยสำคัญคือ พลังของผู้นำในเวทีดีเบต และการหาเสียงโค้งสุดท้าย