เล่ห์ฟอกเงินบุญ "อลงกต" ใช้เงินสดซุกเข้ามูลนิธิฯ โอนง่ายจ่ายคล่อง หลบตรวจสอบ จับตาผู้ต้องหาแถว 2 "อัยการอาวุโส" เชื่อขบวนการนักบุญตบตาอีกเพียบ
วันนี้ (27 ส.ค. 68) หลังทิดอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ถูกตำรวจควบคุมตัวพร้อมกับหมอบี ข้อหาการทุจริตเงินทำบุญ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดียอมรับว่าเป็นคดียาก เนื่องจากผู้ต้องหาและผู้ร่วมขบวนการมีการใช้เงินสด เพื่อปกปิดอำพรางไม่ให้ตามเส้นเงินได้ และมีการโอนย้ายไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ ที่เข้าข่ายการฟอกเงินบุญ
ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด วิเคราะห์ถึงเส้นเงินอดีตพระอลงกตว่า การตรวจสอบเส้นทางเงินสามารถเช็กได้จากสถานที่ที่พระอลงกตเคยไปบิณฑบาตที่ไหนกับหมอบี เช่น ไปบิณฑบาตวันที่ 1 ต้องไปเช็กเงินในบัญชีของผู้เกี่ยวข้องในวันที่ 2 พบเงินโอนเข้าบัญชี และสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเข้าบัญชีวัดหรือมูลนิธิฯ
ถ้าหมอบีได้รับบริจาคในนามมูลนิธิแล้วออกใบเสร็จถือว่าถูกต้อง แต่ถ้าออกใบอนุโมทนาบัตรถือว่าผิด เท่ากับว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะถ้าบอกว่าเป็นการบริจาคให้วัด แต่เงินไปเข้ามูลนิธิถือว่าผิด และพฤติกรรมของอดีตพระอลงกตถือเป็นการฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เข้าข่ายการฟอกเงิน ดังนั้นเงินของมูลนิธิและวัดต้องถูกยึดทั้งหมด
...
“ถ้าพูดถึงความเป็นพระท่านอลงกต ปาราชิกมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งการตรวจสอบต้องไปดูการซื้อที่ว่าเป็นการซื้อที่ให้กับใคร แล้วต้องตรวจสอบว่าถ้าเป็นเงินวัดที่ใช้ซื้อที่ให้กับใคร ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่า เงินที่ใช้ซื้อที่วันไหนมาจากบัญชีอะไร แต่สิ่งสำคัญคือ วัดไม่สามารถซื้อที่ได้เกิน 50 ไร่ ตามข้อกำหนดของการครอบครองธรณีสงฆ์ แต่ต้องขออนุญาตกระทรวงมหาดไทย แต่มหาดไทยอาจไม่อนุญาต ดังนั้นวัดเลยต้องซื้อที่ไว้ในนามบุคคล แต่โอนกรรมสิทธิ์ให้วัดก็ต่อเมื่อ วัดได้รับอนุญาตให้ถือครองที่ดินธรณีสงฆ์ได้เกินกว่า 50 ไร่”
ปัญหาของอดีตพระอลงกตคือ ใครแนะนำให้ท่านตั้งมูลนิธิ หลายวัดกลัวเงินจะหายเลยแต่งตั้งไวยาวัจกรไปเป็นประธานมูลนิธิ ซึ่งวัดกับมูลนิธิควรแยกออกจากกัน เพราะเราเชื่อว่าวัดไหนมีมูลนิธิวัดนั้นมีเงินเยอะ ซึ่งการที่วัดมีการตั้งมูลนิธิ ก็เป็นกลอุบายที่ใช้ในการฟอกเงินบุญ ตัวอย่างเช่น ที่ดินธรณีสงฆ์ถ้าวัดจะหาประโยชน์ต้องเขียนแผนการบริหารจัดการ อย่างนำพื้นที่วัดไปสร้างอาคารพาณิชย์ต้องเขียนแผนไปยังสำนักพุทธ แล้วสำนักพุทธนำเสนอต่อมหาเถรสมาคม ดังนั้นการใช้จ่ายเงินวัดจึงไม่ง่ายต้องผ่านหลายขั้นตอน คนที่ดูแลเงินวัดก็พยายามเปลี่ยนให้ง่าย ด้วยการเปลี่ยนมาเป็นมูลนิธิ เพื่อเอาเงินทำบุญไปเข้าในมูลนิธิ ที่เวลาจะใช้เงินไม่ต้องไปขออนุญาตสำนักพุทธหรือมหาเถรสมาคม นี่คือการฟอกเงินบุญ
กรณีนี้หมอบีก็ใช้พระเป็นเครื่องมือ ส่วนอดีตพระอลงกตก็ใช้มูลนิธิเป็นแหล่งฟอกเงินบุญ ซึ่งมูลนิธิของวัดส่วนใหญ่จะไม่มีการสอบบัญชีทุกสิ้นปี ทำให้ผู้ที่ทำบุญไม่รู้ว่าเงินที่ทำบุญไปแล้วไปอยู่ที่ไหน ขณะที่วัดเองก็ใช้ตัวมูลนิธิเป็นแหล่งพักเงินที่สามารถเบิกจ่ายได้สะดวกมากขึ้น ทั้งที่จริงการไปซื้อที่ดินก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ซึ่งดูแลอดีตพระอลงกตก็ตั้งใจจะให้มูลนิธิสามารถทำเป็นโรงพยาบาลเหมือนกับวัดอื่นๆ ที่ทำได้ แต่พอทำลงไปแล้วไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่กลับกลายเป็นตึกร้าง โครงการหลายแห่งไม่ถูกสานต่อ
“การทำคดีของอดีตพระอลงกต ไม่ต้องรีบสามารถทำไปซัก 2 – 3 คดีก่อนแล้วดำเนินคดีไป ที่เหลือค่อยๆ ขุดหาเส้นเงิน เพราะการจะไปทำทีเดียวทั้งหมดมันไม่ทัน ดังนั้นควรดำเนินคดีที่มีก่อน เพื่อให้ผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจศาลเต็มรูปแบบซัก 4 – 5 กำไปก่อน”
คดีอดีตพระอลงกต เชื่อว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการในแถว 2 และ 3 เพราะการฟอกเงินบุญแค่อดีตพระอลงกตกับหมอบีไม่สามารถทำได้ แต่ต้องมีผู้ร่วมขบวนการ เพราะเวลาเดินทางไปรับบริจาคมีคนติดตามไปตั้งเยอะ คดีพระอลงกตไม่ควรดำเนินการให้เป็นคดีพิเศษ แต่ควรให้ตำรวจทำจะดีกว่า เพราะเห็นได้จากคดีดิไอคอน ที่เป็นคดีพิเศษแล้ว จนป่านนี้เรายังไม่เห็นการจับผู้ต้องหาในแถว 2-3 อย่างชัดเจนเลย
...