ฟ้องกัมพูชา อาญา-แพ่ง เปิด 2 เงื่อนไข ส่งเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ สนับสนุนผู้เสียหายยื่นเรื่อง-ขอความร่วมมือชาติพันธมิตรส่งเรื่อง พร้อมเจรจากดดันชดใช้ผู้สูญเสียฝั่งไทย ชี้ไทยไม่ควรโดดเดี่ยวในเวทีโลก
เหตุปะทะไทย-กัมพูชา มีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทย ฟ้องร้องกรณีผู้นำกัมพูชา โจมตีผู้บริสุทธิ์ของไทย ล่าสุด มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ไทยเตรียมฟ้องผู้นำกัมพูชา ทั้งทางแพ่งและอาญา ต้องพิจารณาตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการ และต้องพิจารณาดูรายละเอียด
มุมการฟ้องร้องกัมพูชา ระดับนานาชาติ ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ท่าทีของทางการไทยในการฟ้องร้องกัมพูชา คาดว่ามีการฟ้องร้องทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติ สามารถแบ่งได้ดังนี้
การฟ้องร้องกัมพูชา ในประเทศไทย เมื่อเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในดินแดนไทย ต้องพิจารณา 2 ประเด็นคือ 1.ศาลไทย มีเขตอำนาจหรือไม่ 2.ถ้าเดินหน้าฟ้องแพ่ง-อาญา พอเป็นกรณีองค์กรต่างประเทศ ที่ทำงานในนามของรัฐเขา มีเรื่องเอกสิทธิ์ความคุ้มกันทางการทูต ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ยูเอ็น อยู่ในไทย ไม่ใช่วันดีคืนดีจะไปจับเขาได้ เพราะมีเอกสิทธิ์ความคุ้มกันทางการทูต กรณีนี้ไม่ได้เป็นทูต แต่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
...
การฟ้องร้องคดีแพ่ง ในไทยเป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นการกระทำทางทหารในบริบทของสงคราม มีกฎหมายสงครามกำกับไว้อยู่โดยเฉพาะ เคยมีคดีที่ฟ้องแพ่งศาลภายในประเทศ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เหยื่อไม่ได้รับการเยียวยา เลยฟ้องแพ่งศาลในประเทศ มีผลคำพิพากษาว่าไม่รับ โดยศาลไม่รับฟ้องในคดีนี้ ดังนั้น การฟ้องแพ่ง โดยศาลในประเทศ มักติดเงื่อนไขเอกสิทธิ์ความคุ้มกัน
สำหรับการเยียวยาทางแพ่ง กรณีที่เกิดความขัดแย้ง มีการเจรจาเพื่อเยียวยาทางแพ่งว่า ฝ่ายไหนต้องรับผิดชอบ ส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเงินเยียวยาเป็นก้อน ดังนั้น การเยียวยาทางแพ่งจะขึ้นอยู่กับการเจรจาเป็นหลัก
การฟ้องผ่านศาลอาญาระหว่างประเทศ
ดร.ภัทรพงษ์ มองการฟ้องอาญา ว่า ต้องมาดูว่าเป็นการกระทำโดยใช้อำนาจของรัฐ ถ้าเป็นระดับสูงของนายกฯ หรือประมุขของรัฐ จะมีการคุ้มกันแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่มีการคุ้มครองไม่สามารถถูกฟ้องหรือจับในต่างประเทศได้ เลยเป็นประเด็นว่า ถ้าเดินหน้าการฟ้องศาลภายในไทยจะติดเรื่องความคุ้มกันทางการทูต เลยทำให้มีการเสนอว่า ต้องไปศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC)
ในกระบวนการฟ้องร้องศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกภาคี กัมพูชาเป็น มีคนเสนอว่าไทยควรประกาศรับเขตอำนาจศาลเฉพาะเรื่องตั้งแต่มีเหตุปะทะของไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งไม่ต้องครอบคลุมทุกเรื่อง โดยยอมรับอำนาจศาลเฉพาะเหตุปะทะไทย-กัมพูชา เท่านั้น แต่กรณีนี้มีความละเอียดอ่อนอย่างมาก
แม้ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ มีแนวทางที่สามารถฟ้องร้องได้ เพราะเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศถือว่ามีอำนาจ เพราะกัมพูชา เป็นภาคี แล้วการกระทำเกิดจากการโจมตีของฝั่งกัมพูชาก่อน แต่ประเด็นสำคัญคือจะเริ่มกระบวนการฟ้องร้องดังนี้
1.อัยการต้องเป็นคนเริ่มกระบวนการ ด้วยความที่ไทยไม่ได้รับอำนาจศาล ดังนั้นต้องให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายคนไทย รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน โดยรัฐไทยต้องมีทีมที่เข้าไปช่วย และส่งเรื่องไปให้อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้อัยการเริ่มเรื่องเองได้ เหมือนกรณีฟิลิปปินส์ ที่อัยการเริ่มเรื่องเองกรณี"โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต" เพราะมีข้อมูลจากการรายงานข่าวมาตลอด โดยอัยการจะไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อไปเริ่มเรื่องต่อ
...
2.ด้วยความที่ไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่อาจร้องขอให้ประเทศอื่นที่รับอำนาจศาล นำเรื่องไปร้องขอให้อัยการเริ่มเรื่องได้ โดยประเทศทั้งหลายในยุโรป ส่วนใหญ่เป็นสมาชิก เช่น บอกไปทางฝรั่งเศสว่ามีปัญหาและหลักฐานสำคัญอะไรบ้าง
แต่ถ้ามีการเริ่มคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ ในธรรมนูญศาลระบุไว้ว่า ศาลอาจปฏิเสธไม่รับฟ้องได้ ถ้าเกิดศาลเห็นว่ายังไม่ร้ายแรงมากเพียงพอ ส่วนนี้ถือเป็นเรื่องดุลยพินิจ ถ้าไปเทียบกับคดีอื่นๆ ต้องยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไทยยังน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ มีผู้ได้รับความเสียหายราว2-3 หมื่นคน ส่วนคดีอื่นที่อยู่ในศาลอย่างอิสราเอล หรือยูเครน ก็ยังถือว่ามีความเสียหายและจำนวนผู้ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า สิ่งนี้เป็นจุดเสี่ยง ว่าถ้าไทยเดินหน้าฟ้อง ศาลยอมรับหรือไม่
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการตอนนี้คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต้องหาทางลงกันอย่างไร และต้องมองความสัมพันธ์ของสองประเทศต่อจากนี้ ต้องมีการดำเนินไปทางไหน แล้วค่อยไปดูว่าการดำเนินคดีแพ่งและอาญา อยู่ตรงไหนในภาพใหญ่
...
...