กลศึกกัมพูชา "ซุ่มยิง-ตั้งฐาน" ในปราสาทฯ โบราณสถาน เงื่อนไขระหว่างประเทศ ไทยป้องกันตัวได้ ชี้แอบส่องสไนเปอร์จาก "เขาพระวิหาร" ชัดเจนสุด

การปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา ในพื้นที่โบราณสถาน เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือน และการซุ่มยิงจากปราสาทพระวิหาร ทำให้ทหารไทยเจอปัญหาในการเข้าโจมตีข้าศึก เพราะฝั่งกัมพูชา ก็พยายามหลอกล่อให้มีการเข้ามาโจมตีในพื้นที่โบราณสถาน ที่จะส่งผลต่อความชอบธรรม โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ที่มีการคุ้มครอง แต่ในความเป็นจริงก็มีข้อยกเว้น ในสถานการณ์การปะทะ และไทยเองต้องยืนยันความชัดเจนบนเวทีโลก

จากข้อมูลพบว่า ถ้ากองกำลังทหารฝ่ายกัมพูชา ใช้โบราณสถานเป็นฐานที่มั่นทางทหาร และใช้เป็นสถานที่ซุ่มยิง กองกำลังทหารฝ่ายไทย เมื่อกองกำลังทหารฝ่ายไทยทราบจะสามารถทำลายโบราณสถานนั้น โดยใช้ข้อยกเว้นตามอนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions of 1949 and Additional Protocols I and II of 1977) และอนุสัญญาเฮก เพื่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในเหตุการณ์ความขัดแย้ง ด้วยอาวุธ (The 1954 Hague Convention for the Protection of Cultural Property in the Event of Armed Conflict) เพื่อทำลายหรือทำให้โบราณสถานนั้นเสียหายได้หรือไม่

พ.ต.ท.ดร. ประลอง ศิริภูล อาจารย์ (พิเศษ) คณะนิติศาสตร์ ม.วงษ์ชวลิตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่า ต้องทำความเข้าใจต่อสถานการณ์การปะทะ หรือการสู้รบที่เกิดขึ้นนั้นก่อนว่า เป็นการทำสงคราม (War) หรือเป็นการขัดแย้งด้านอาวุธ (Armed Conflict) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ตัวอย่างการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ตอนนี้ พิจารณาตามความหมาย ของกฎหมายระหว่างประเทศคำตอบคือ สถานการณ์การปะทะกันชายแดนระหว่าง กองกำลังทหารทั้งสองฝ่ายมีความรุนแรงและต่อเนื่องระดับหนึ่ง ถือว่าเป็น "ความขัดแย้งด้านอาวุธ ระหว่างรัฐ" (International Armed Conflict) แม้ไม่มีการประกาศสงครามเป็นทางการ หรือเป็นการปะทะขนาดเล็ก (small-scale hostilities) ก็เพียงพอจะถือว่าเป็นสงคราม (War) หรือ การขัดแย้งด้านอาวุธ (Armed Conflict) ตามคำนิยามกฎหมายระหว่างประเทศ

...

แม้การให้สัมภาษณ์ของรัฐบาลไทยที่กล่าวว่า ยังไม่ถือว่าเป็นสงคราม เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้ประกาศนั้น ก็เป็นความเข้าใจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 177 เป็นรูปแบบพิธีการทางกฎหมายภายในของประเทศไทย แต่ในความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศสถานการณ์ ที่มีการใช้กำลังอาวุธระหว่างกำลังทหารของทั้งสองประเทศ ที่มีการปะทะหลายครั้ง มีการปฏิบัติการทางทหารทั้งทางภาคพื้นดิน ทะเล และอากาศ แม้ไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ก็ถือว่าเป็นความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างรัฐ (IAC) / ICRC จึงแนะนำหลีกเลี่ยงให้ใช้คำว่า การขัดแย้งด้านอาวุธ (Armed Conflict) แทนคำว่าสงคราม (War)

ดังนั้น ปฏิบัติการทางทหาร จึงต้องคำนึงถึงอนุสัญญาเจนีวาฯ ทั้ง 4 ฉบับ ได้แก่

1.Geneva Convention for the Amelioration of the Condition of the Wounded and Sick in Armed Forces in the Field

2. Geneva Convention for the Amelioration of the Condition of Wounded, Sick and Shipwrecked Members of Armed Forces at Sea

3. Geneva Convention relative to the Treatment of Prisoners of War

4. Geneva Convention relative to the Protection of Civilian Persons in Time

of War


มรดกทางวัฒนธรรม ตัวประกันซุ่มโจมตี


พ.ต.ท.ดร. ประลอง มองว่า การรักษาความปลอดภัยของโบราณสถาน และมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของโลก เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ที่อยู่ในพื้นที่การขัดแย้งด้านอาวุธ โดยให้คำนึงถึง The Hague, 1954, Second Protocol to the Hague Convention of 1954 for the Protection of Cultural Property in the Event of Armed Conflict และ UNESCO Convention, 1972 ประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นทางฝ่ายกัมพูชา อาจใช้เป็นข้ออ้างโจมตีปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยว่า เป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก1954 และอื่นๆ

ถ้าฝ่ายกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นฐานที่มั่นทางทหารและใช้เป็นสถานที่ซุ่มยิงหรือโจมตี ไทยสามารถทำลายโบราณสถานนั้น ใช้ข้อยกเว้นตาม อนุสัญญาฯ สามารถกระทำได้ตาม อนุสัญญาเฮก ค.ศ. 1954 มาตรา 4 วรรค 1

กรณีฝ่ายกัมพูชาใช้บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ซุ่มยิง จากภายในหรือบริเวณใกล้ปราสาทเขาพระวิหาร ปกติ การใช้พลซุ่มยิงในการปฏิบัติการรบในสงครามสามารถกระทำได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ตราบเท่าที่เป็นไปตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law – IHL) โดย ICRC ระบุว่า sniper warfare ถือเป็น lawful means of combat, "Snipers, like all combatants, must abide by IHL and may not target civilians or conduct perfidious attacks." เว้นแต่ยิงเป้าหมายที่ไม่ได้เข้าร่วมการสู้รบ เช่น พลเรือน ผู้บาดเจ็บ เชลย ซุ่มยิงจากสถานที่ที่กฎหมายระหว่างประเทศให้ความคุ้มครอง เช่น โรงพยาบาล วัด โบราณสถาน

...

การใช้กระสุน หรือวิธีที่ไร้มนุษยธรรม เช่น กระสุนระเบิด (exploding bullets) อาจเข้าข่าย อาชญากรรมสงคราม (War Crime) และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime against Humanity) ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาล ICC ส่วนการใช้สถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองจะเป็นความผิดตามอนุสัญญาเฮกฯ ซึ่งตรงนี้อาจอยู่ในเขตศาล ICC หรือ ศาล ICJ หรือกลไกกฎหมายอื่นๆ แล้วแต่ประเทศไทยจะใช้อะไรเป็นฐาน

การที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนโดยUNESCOและบริเวณใกล้เคียงเป็นจุดปฏิบัติการของพลซุ่มยิง จึงเป็นการใช้สถานที่ดังกล่าว เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และเพื่อหลบเลี่ยงการตอบโต้จากฝ่ายไทยเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม ระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเฮก ค.ศ. 1954 มาตรา 4 วรรค 1 : "The High Contracting Parties undertake to respect cultural property by refraining from any use of the property and its immediate surroundings for purposes which are likely to expose it to destruction or damage in the event of armed conflict."

สรุปแล้วการกระทำต่อเป้าหมายทางทหารไม่ผิด แต่ใช้สถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองกระทำต่อเป้าหมายทางทหารผิดฯ

ตัวอย่างเช่น หากบริเวณปราสาทพระวิหารถูกใช้เป็นพื้นที่ซุ่มยิงจึงอาจถูกทำลายได้ เนื่องจากถูกใช้เป็นฐานทัพหรือยุทธศาสตร์ทางทหาร ถูกใช้เป็นเป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน (Military Objective)

หากไม่มีทางเลือกทางทหารอื่นที่ปลอดภัย หรือได้ผลเท่ากันแต่ต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วน(Proportionality) และหลักการแยกแยะ (distinction) เกิดผลกระทบต่อโบราณสถาน ไม่เกินกว่าประโยชน์ทางทหารที่จะได้รับและปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (IHL) อย่างเคร่งครัด โดยมีข้อแนะนำทางกฎหมายให้มีการแจ้งล่วงหน้าไปยังฝ่ายตรงข้าม หากสามารถ กระทำได้ หรือองค์การ UNESCO องค์กรที่เกี่ยวข้องที่ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร มีการบันทึก

...

พยานหลักฐานอย่างชัดเจนว่า โบราณสถานถูกใช้เป็นพื้นที่ซุ่มยิง หลีกเลี่ยงการทำลายตัวโบราณสถาน โดยตรง หากสามารถจำกัดการตอบโต้เฉพาะบริเวณรอบนอกได้ และคงการใช้กำลังภายใต้ขอบเขต ที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม