ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกหรือ ยูเนสโก ครั้งล่าสุด ครั้งที่ 47 ที่จัดขึ้นในวันที่ 6-16 กรกฎาคม ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ได้มีมติขึ้นทะเบียนกลุ่มอนุสรณ์สถานที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดง เมื่อ 50 ปีจำนวน 3 แห่ง ให้เป็นมรดกโลก คือ พิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง หรือ “คุกตวลสเลง”, ศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจืองแอ็ก หรือ “ทุ่งสังหารเจืองแอ็ก”, และคุก M-13

คุกตวลสเลง
คุกตวลสเลง


การขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้ เป็นแหล่งโบราณสถานร่วมสมัยแห่งแรกที่กัมพูชายื่นขึ้นทะเบียน และกลายเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกแหล่งที่ 5 ของประเทศ ซึ่งทั้ง 4 แห่งก่อนหน้านี้ล้วนเป็นโบราณสถานจากยุคอดีตทั้งสิ้น คือ นครวัด ปราสาทพระวิหาร ปราสาทสมโบร์ไพรกุก และเกาะแกร์

“ขอให้การขึ้นทะเบียนครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าสันติภาพเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องไว้เสมอ”

...

“จากหน้าประวัติศาสตร์อันดำมืดที่สุด เราสามารถใช้มันเป็นความเข้มแข็งเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าแด่มนุษยชาติ”

นั่นคือคำกล่าวของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ หลังสถานที่เหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ ย้อนไปในวันที่ 17 เม.ย. 1975 กัมพูชาสิ้นสุดสงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานถึง 8 ปี หลังกองทัพเขมรแดง ซึ่งเป็นลัทธิเหมาหัวรุนแรง นำโดย “พอล พต” บุกเข้ายึดครองกรุงพนมเปญ รีเซ็ตปฏิทินใหม่เป็นปี 0 และกวาดต้อนผู้คนออกจากเมืองใหญ่ หวังสร้าง “รัฐเกษตรกรรมสังคมนิยม” ที่ปราศจากชนชั้นและการเมือง นำมาสู่การที่ประชากรจำนวนมหาศาลต้องเสียชีวิตจากความอดอยาก การถูกบังคับให้ใช้แรงงาน และมากที่สุดจากการทรมานและสังหารหมู่

โดยในปี 1975-1979 หรือในช่วงเวลาแค่ 4 ปี มีประชากรเสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศในขณะนั้น

คุกตวลสเลง
คุกตวลสเลง

สำหรับสถานที่แรก คือ “คุกตวลสเลง” ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนมัธยมก่อนถูกเปลี่ยนให้เป็นเรือนจำชื่อว่า S-21 คาดว่ามีประชาชนถูกคุมขังและทรมานกว่า 15,000 คน ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง จัดแสดงข้อมูล ภาพถ่ายของเหยื่อและเครื่องมือที่เคยถูกใช้ในการทรมานพวกเขาเหล่านี้

สถานที่ต่อมาคือ ศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจืองแอ็ก ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงพนมเปญไปทางใต้ราว 15 กม. อดีตสุสานจีน ที่ถูกใช้เป็น “ทุ่งสังหาร” ปลิดชีพนักโทษจากเรือนจำ S-21 รายวัน มีการขุดพบศพมากกว่า 6,000 ร่าง ในกลุ่มฝังศพหมู่มากกว่า 100 แห่งในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งทางการได้จัดแสดงกะโหลกของเหยื่อ และในทุกๆ ปี จะมีประชาชนหลายร้อยคนมารวมตัวเพื่อสวดภาวนาและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต

พิธีรำลึกที่ทุ่งสังหารเจืองแอ็ก
พิธีรำลึกที่ทุ่งสังหารเจืองแอ็ก

...


และสถานที่สุดท้าย คือ คุก M-13 ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดกัมปงฉนัง ปัจจุบันเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าแต่ในอดีตเป็นคุกสำคัญแห่งแรกๆ ของเขมรแดง ถูกใช้ในการคิดค้นและทดสอบวิธีการสอบปากคำ การทรมานและสังหารนักโทษหลายรูปแบบ โดยได้ขังนักโทษไว้ในหลุมที่ยังทิ้งร่องรอยให้ยังพอมองเห็นในปัจจุบัน 

ยุคของเขมรแดงสิ้นสุดลงในปี 1979 เมื่อกองทัพเวียดนามบุกกัมพูชารวมถึงเกิดความขัดแย้งภายใน ต่อมาในปี 1997 ศาลพิเศษได้ถูกแต่งตั้งขึ้นจากความตกลงระหว่างองค์การสหประชาชาติและรัฐบาลกัมพูชาเพื่อชำระคดีเขมรแดง แต่ “พอล พต” ผู้นำหมายเลข 1 ได้เสียชีวิตในปี 1998 ก่อนที่เขาจะถูกนำตัวขึ้นศาล

ศาลได้พิพากษา 3 แกนนำคนสำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ สหายดุช หรือ นายคัง เก็ก เอียว ผู้ดูแลเรือนจำตวลสเลง, นายนวน เจีย ผู้นำหมายเลข 2 รองจาก พอล พต และนายเขียว สัมพัน อดีตผู้นำรัฐของเขมรแดง โดยสหายดุชและนายนวน เจียเสียชีวิตแล้วในเรือนจำ เหลือเพียงนายเขียว สัมพัน ที่ยังมีชีวิตและรับโทษอยู่

คุก M-13 (© TSGM)
คุก M-13 (© TSGM)

...

ยุก ชาง ผู้รอดชีวิตจากทุ่งสังหาร และผู้อำนวยการศูนย์เอกสารกัมพูชากล่าวว่า ประเทศกัมพูชายังคงเผชิญกับความเจ็บปวดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทรมาน และความโหดเหี้ยมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น แต่การได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกจะมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดเรื่องราวนี้สู่ผู้คนรุ่นหลังของกัมพูชาและทั่วโลก 

"แม้ว่าสถานที่เหล่านี้จะเป็นพื้นที่ของความรุนแรง แต่มันก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเยียวยาบาดแผลจากเหตุการณ์ในยุคนั้นที่ยังไม่หายดีได้เช่นกัน"

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งแรกที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1979 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ สถานที่กักกันและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) กว่า 1.1 ล้านคน ระหว่างปี 1940 – 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี ค.ศ. 2023 ได้ขึ้นทะเบียนอนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทุตซีในรวันดา ที่เกิดขึ้นในปี 1994 มีผู้เสียชีวิตกว่า 8 แสน-1 ล้านคน ในเวลาเพียงแค่ 100 วัน 

ออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูเนสโก กล่าวเมื่อครั้งประกาศให้อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดาเป็นมรดกโลกว่า 

“เราต้องพยายามถ่ายทอดประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างไม่ลดละ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อและเพื่อยืนยันว่าความโหดร้ายเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งหนไหน เราต้องทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการย้ำเตือนความทรงจำ ความปรองดอง และสันติภาพ”

ขอบคุณ :  unesco, aljazeera, unesco

...