อ่านแรงจูงใจ “สีกากอล์ฟ” 3 พฤติกรรมล็อกเป้าพระผู้ใหญ่ อรหันต์ฉันสีกา? “นักอาชญวิทยา” วิเคราะห์ก่อเหตุหวังผล จากชื่นชมกลายเป็นหลงกล กลยุทธ์เล่นกับใจ ไม่เท่าทันโลกไร้ศีลธรรม 

ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนศรัทธาของสังคมไทยอย่างรุนแรงซึ่งอาจเรียกได้เหมือนกับสิ่งที่มีการใช้ว่ายุทธการ “นารีพิฆาต” เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่มีมาให้เห็นเป็นระยะๆ อยู่เสมอ แม้ว่าจะมีข้อบัญญัติในทางพุทธศาสนาที่ให้พระสงฆ์ระมัดระวังเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงและก็มีการห้ามไม่ให้ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาทอย่างชัดเจน แต่ที่ผ่านมา พบว่ามีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีทั้งการทุจริตเกี่ยวกับเงินทอง มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงออกมาอยู่เนืองๆ เป็นระยะอยู่สม่ำเสมอ 


กระทบต่อศรัทธาความเชื่อมั่นและบั่นทอนพุทธศาสนาอย่างรุนแรงอย่างไม่ควรเกิดกับพระเถระผู้ใหญ่ เหตุการณ์ในเรื่องของสีกากอล์ฟมีเพศสัมพันธ์กับพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงหลายรูปและมีการบันทึกเหตุการณ์ภาพการมีสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ กว่า 8 หมื่นภาพดังที่ปรากฏตามข่าวตามสื่อมวลชนที่หลายคนเชื่อว่า การกระทำเช่นนั้นเพื่อนำไปสู่การแบล็คเมล์หรือเรียกร้องผลประโยชน์และเพื่อสร้างอิทธิพลในแง่ต่างๆ

...

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล นักวิชาการด้านอาชญวิทยา ให้ข้อมูลว่า อันที่จริง ในทางอาชญวิทยานั้นจะมีการอธิบายถึงสาเหตุและแรงจูงใจในการที่ผู้หญิงก่ออาชญากรรมไว้บ้างพอสมควรดังนี้

1. สาเหตุในการลงมือก่อเหตุนั้นส่วนใหญ่ก็อาจจะมีเรื่องตั้งแต่การเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ การพบกับความกดดันในชีวิตอย่างรุนแรง ความหึงหวง การแสวงหาผลประโยชน์หรือการมีความแค้นอื่นๆ เป็นต้น แต่ปรากฏการณ์ที่จะอธิบายในเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจหรือว่าสาเหตุใดที่ผู้หญิงได้เลือกให้พระตกเป็นเหยื่อของการก่อเหตุนั้น อาจเรียกว่ามีไม่มากนัก แต่ก็มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากทฤษฎีพื้นฐานในเรื่องของโอกาส หรือแนวคิดทฤษฎีว่าด้วยโอกาสในการก่ออาชญากรรม ในทฤษฎีดังกล่าวนั้นได้พูดถึงเกี่ยวกับสาเหตุและสามารถนำมาอธิบายถึงการที่ผู้หญิงได้เข้าไปมีบทบาทในการก่อเหตุล่อลวง ทฤษฎีโอกาสในอาชญวิทยาชี้ให้เห็นว่าอาชญากรรมเกิดขึ้นเมื่อผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจพบกับเป้าหมายที่เหมาะสม

ขณะที่ไม่มีผู้ที่จะคอยคุ้มครองปกป้องที่มีความสามารถ แนวคิดนี้เน้นปัจจัยด้านสถานการณ์และสภาพแวดล้อมมากกว่าการมุ่งเน้นแรงจูงใจของผู้กระทำความผิดเพียงอย่างเดียว มุมมองนี้เน้นย้ำว่าอาชญากรรมไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดที่เต็มใจลงมือกระทำได้           


 2. หากนำมาอธิบายให้ชัดว่า สิ่งแรกคือ การที่ผู้กระทำความผิดที่มีแรงจูงใจ หรือบุคคลนั้นที่มีความโน้มเอียงที่จะก่อเหตุ นั่นคือ ตัวสีกากอล์ฟนั้นมองเห็นโอกาสในการที่ตนเองสามารถลงมือกระทำการหรือก่อเหตุได้กับพระชั้นผู้ใหญ่ เพราะเป็นผู้ที่มีปัจจัย หรือแม้ไม่มีในขณะนั้นก็มีตำแหน่งในการที่สามารถจะนำมา ซึ่งเงินทองหรือผลประโยชน์ได้ ซึ่งอันนี้เราเคยเห็นตัวอย่างว่า นอกจากเรื่องเงินแล้วการเข้าไปมีบทบาทหรืออำนาจในการบริหารจัดการ การแสวงหาผลประโยชน์จากวัดในรูปแบบอื่นๆ ก็เคยปรากฏมาแล้ว ประการที่สอง มีเป้าหมายที่เหมาะสม นั่นคือมีสิ่งของหรือบุคคลที่น่าดึงดูดและเปราะบางต่อผู้กระทำความผิด 

หมายความถึงว่า การเป็นพระเถระผู้ใหญ่ย่อมเปราะบางต่อเรื่องชื่อเสียงที่เสื่อมเสียหรือหากมีหลักฐานปรากฏถึงการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นก็อาจถูกต่อต้านจากสังคมหรือผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหน้าที่ ตำแหน่งงานและความเป็นอยู่อย่างแน่นอน สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนของเหยื่อที่ชัดเจน ที่ผู้ที่มีความโน้มเอียงที่จะก่อเหตุ นั่นคือ ตัวสีกากอล์ฟนั้นมองเห็นโอกาส 

ประการที่สาม คือการขาดผู้ปกป้อง ผู้คุ้มกันหรือผู้พิทักษ์ที่มีศักยภาพความสามารถในการป้องกันเหตุ อาจจะด้วยการที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ไม่มีใครกล้ามาเฝ้ามองพฤติกรรม หรือเข้าไปตรวจสอบ รวมทั้งการที่ชักชวนให้พระผู้ใหญ่เหล่านั้นออกไปข้างนอกไกลหูไกลตาขาดชาวบ้านและชุมชนที่อาจคอยเฝ้ามอง หากเป็นพระชั้นผู้น้อย อาจถูกพระผู้ใหญ่เองเฝ้ามอง ตรวจสอบพฤติกรรมทางอ้อม เท่ากับเป็นการขาดการคุ้มครองหรือการกำกับดูแลที่มีประสิทธิผลซึ่งอาจป้องกันการก่อเหตุได้นั่นเอง เมื่อสามเงื่อนไขมาบรรจบกันก็เกิดในสิ่งที่เราเห็นนั่นแหละครับ 

3. แนวคิดในการอธิบายนี้มีจุดเด่นที่มักจะไม่ได้เน้นที่ตัวการทำความเข้าใจภูมิหลังของผู้กระทำความผิดเพียงอย่างเดียว เช่น ตัวผู้กระทำมาจากครอบครัวที่ขาดแคลน ขาดการอบรมสั่งสอนในการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสม ถูกต้อง ตกหล่นในการเรียนรู้เรื่องการเป็นคนดีหรือบกพร่องทางศีลธรรมอย่างรุนแรง แต่จะเน้นไปที่โอกาสจะเกิด นั่นคือ การที่สีกามีโอกาสได้ใกล้ชิดพระ หรือถึงไม่มีก็เห็นจุดหรือช่องโหว่และแสวงหาโอกาส 

...

สถานการณ์ที่เปิดโอกาสให้ลงมือได้ พอเห็นช่องทางที่จะลงมือแล้ว ชั่งน้ำหนักว่าคุ้มค่าที่จะลงมือไหม เป็นการเลือกที่แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำมักจะตัดสินใจอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ในต่างประเทศและในประเทศไทยหลายปีก่อนได้มีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ แล้วผู้วิจัยก็เป็นพระด้วย ยังจำได้ว่า มีการสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ก่อเหตุรายหนึ่ง ว่าเหตุใดจึงเลือกพระเป็นเป้าหมายหรือเหยื่อ พบว่า พระมักจะเป็นบุคคลที่ขี้สงสาร 


ที่สำคัญคือมักจะเป็นผู้ที่ไม่ใช้ความรุนแรงหรือใช้อารมณ์หรือความรุนแรงในการทำร้ายร่างกายหรือตอบโต้ หรือการแก้แค้น หรือใช้ความรุนแรงที่อาจพบได้จากการที่มีคู่รักที่เป็นผู้ชายทั่วไปโดย หากมีความขัดแย้งก็สามารถที่จะยุติเรื่องราวกันได้ง่าย นั่นคือ การรับรู้ความปลอดภัยของเหยื่อ และความกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการเปิดเผยข้อมูลเป็นปัจจัยสนับสนุนในการลงมือต่อ สำหรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก็คือ การเข้าไปเป็นคนที่อาจมีปัญหาในชีวิตและขอคำปรึกษาจากพระเป็นที่พึ่ง หรือเข้าไปเป็นคนปรนนิบัติ รับใช้ จัดอาหารให้กับพระผู้ใหญ่ เพื่อจะได้มีโอกาสในการใกล้ชิดและสำรวจดูสถานะในระยะหนึ่งก่อนที่จะดำเนินการต่อ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ปกติก็มักจะมีการแต่งตัวสะสวย ในลักษณะที่และมีจริตในการยั่วยวนทางอ้อม 

...

เธอให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า จุดอ่อนของพระคือเรื่องเซ็กส์ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะการที่ไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศเป็นเวลานาน และหากพระมีการสื่อสารในเชิงชู้สาวก็จะถือว่าเป็นช่องทางหรือมีโอกาสที่จะสามารถนำไปสู่การวางแผนที่จะดำเนินการในขั้นต่อไปได้ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ความสัมพันธ์กับพระและผู้หญิงนั้น เนื่องจากไม่มีกฎใดที่ห้ามพระภิกษุสัมผัสผู้หญิง มีแต่กฎสังฆาทิเสสที่ห้ามพระภิกษุสัมผัสผู้หญิงด้วย "จิตที่ครอบงำด้วยราคะ" การที่พระภิกษุสัมผัสผู้หญิงโดยไม่มีเจตนาในกามไม่ถือเป็นความผิด และไม่ได้มีบทบัญญัติในการห้ามให้พระกับสีกาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

จึงเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้มีการลงมือ คำถามคือแล้วทำไมเป็นพระหลายรูป มีคำอธิบายระบุว่า คนเรานั้นจะรับรู้ถึงเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเบี่ยงเบนว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อพวกเขาใช้และสื่อสารเกี่ยวกับเทคนิคเหล่านี้บ่อยครั้ง สิ่งนี้อาจมาจากในสังคมนั้นเด็กชายและเด็กหญิงถูกปลูกฝังทางสังคมในรูปแบบที่แตกต่างกัน กระบวนการขัดเกลาทางสังคมตามบทบาททางเพศทำให้ประสิทธิภาพของทักษะทางเทคนิคในเด็กหญิงต่ำกว่าเด็กชาย ผลที่ตามมาของความแตกต่างในการรับรู้นี้ทำให้พฤติกรรมในการก่อเหตุ เช่น การลักทรัพย์และการขโมยรถยนต์ เป็นสิ่งที่เด็กผู้หญิงไม่สามารถกระทำได้ เพราะเชื่อว่าตนเองขาดทักษะทางเทคนิคที่จำเป็น

 อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคเพียงเล็กน้อยหรือในสิ่งที่ผู้ชายมีน้อยกว่า เช่น การยั่วยวน จะทำได้ง่ายกว่า