เสียงต้านรัฐประหาร เงื่อนไขไทยติดหล่ม ทางออกศรัทธานายกฯ "นักวิชาการ” มองการเมืองไทยก้าวไปไม่ถึงการยึดอำนาจครั้งใหม่ ย้ำนายกฯ อยู่นานความชอบธรรมยิ่งลดลง คาดศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 70%
หลังการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. เมื่อ 28 มิ.ย. 68 ก็มีเสียงติติงจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย กรณีผู้นำการปราศรัยบางรายกล่าวถึงการทำรัฐประหาร และกลายเป็นกระแสโต้กลับ ทั้งจากฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาแสดงชัดเจนถึงความไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับพรรคประชาชน ที่ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วย
ท่ามกลางสภาวะการเมืองที่ติดหล่ม ผศ.ว่าที่ ร.ต.จตุพล ดวงจิตร อาจารย์วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต วิเคราะห์ถึงเสียงต่อต้านรัฐประหารที่เกิดขึ้นในสังคมว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นจะส่งผลต่อการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ
ประกอบกับกำแพงภาษีในการส่งออก รวมถึงสงครามในบางประเทศที่ส่งผลต่อราคาพลังงาน ประกอบกับที่ผ่านมาการรัฐประหารก็สร้างรอยจดจำที่ไม่ดีให้กับคนในประเทศ
...
ถ้าประเมินกลุ่มที่กดดันนายกฯ อย่าง คปท. มีความชัดเจนในการกดดันให้นายกฯ ลาออก เพื่อที่จะเปลี่ยนตัวนายกฯ และขับเคลื่อนประเทศไปซักระยะ และเมื่อจัดการเรื่องข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนกับกัมพูชาให้ชัดเจน แล้วค่อยไปเลือกตั้งใหม่ โดยส่วนตัวมองว่า จากคลิปหลุดที่ออกมา นายกฯ ก็มีความเสี่ยงในเรื่องจริยธรรมสูง
ในส่วนของพรรคประชาชน ที่ออกมาเสนอให้นายกฯ ยุบสภาฯ เรายังมองว่าเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว สุดท้ายก็เป็นนักการเมืองที่ไม่ต่างจากกลุ่มเดิมๆ ที่เร่งเร้าให้เกิดการยุบสภา ให้เกิดการเลือกตั้ง เพราะพรรคประชาชนประเมินแล้วว่า ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่เวลานี้อาจจะมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น แม้หลายคนจะมองว่า พรรคประชาชนเป็นช่วงขาลง แต่ก็ยังมีเสียงสนับสนุนจากกลุ่มคนที่มองเห็นการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล
การที่กลุ่ม คปท. ถูกโจมตีในกรณีที่แกนนำกล่าวถึงการทำรัฐประหาร โดยส่วนตัวมองว่าม็อบยังสามารถเดินต่อไปได้ แต่ถ้าประเมินการเมืองที่เป็นอยู่ ไม่น่าจะไปถึงขั้นการทำรัฐประหาร เพราะทุกวันนี้มีเสียงของประชาชนที่สื่อสารผ่านหลายช่องทาง ถึงการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และมีพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทางออกแพทองธาร ศาลรัฐธรรมนูญ
ทางออกของนายกฯ ตอนนี้ "ผศ.ว่าที่ ร.ต.จตุพล" มองว่า มีทางเดียวคือต้องลงจากตำแหน่งนายกฯ แล้วหาคนที่มาดำรงตำแหน่งใหม่ ซึ่งด้วยกระบวนการหลังจากนั้นรัฐบาลก็มีแนวโน้มอยู่ต่อไปไม่ได้นาน เพราะต่อให้รัฐบาลอยู่อีกนานเท่าไหร่ ก็จะมีเสียงต่อต้านจากหลายภาคส่วนของสังคมมากขึ้น
“สำหรับคนที่จะมาเป็นนายกฯ แทนคุณแพทองธาร โดยการนำของรัฐบาลเพื่อไทย ควรเป็นคนนอกตระกูลชินวัตร เพื่อประคับประคองรัฐบาลให้ผ่านวาระงบประมาณที่สำคัญไปก่อน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ คาดว่าแม้จะเปลี่ยนตัวนายกฯ แล้ว แต่ก็อาจจะอยู่ได้ไม่ยาวนาน”
...
โดยส่วนตัวประเมินว่า ศาลรัฐธรรมนูญที่มีการประชุมในวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค. 68) มีแนวโน้มที่ศาลรับคำร้อง โดยคาดว่ามีโอกาสถึง 70% แต่อาจต้องมีการพิจารณาต่อ โดยไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ถ้านายกฯ ยืนยันจะทำหน้าที่ต่อ ก็มีโอกาสที่จะโดนคดีตามมาอีกจำนวนมาก
“ถ้าคุณแพทองธารทำหน้าที่นายกฯ อีกนานเท่าไหร่ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแรงมากขึ้น ยิ่งอยู่นานความชอบธรรมยิ่งลดลง เพราะประชาชนมีความคาดหวังต่อสปิริตของผู้นำรัฐบาลค่อนข้างมาก สิ่งนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามนายกฯ เข้มแข็ง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”