อิสราเอล-อิหร่าน สงครามทางอากาศ นักวิชาการมองศักยภาพขีปนาวุธสูสี ถล่มเสียหายทั้งสองฝ่าย ประเมิน 3 ทางเลือก "อเมริกา" เปิดหน้าช่วยอิสราเอล หรือถอยรอสันติภาพ
ความรุนแรงในตะวันออกกลางปะทุรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่ออิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ตั้งแต่วันที่ 13 – 14 มิ.ย. 68 และยังตอบโต้กันไปมาด้วยขีปนาวุธ แม้ทั้งสองประเทศไม่มีดินแดนติดกัน ซึ่งการรบครั้งนี้ ยังไม่ถึงกับการทำสงครามในภาคพื้นดินคือ การส่งทหารเข้าไปรุกรานอีกฝ่าย แต่ต่างฝ่ายก็มีตัวแทนที่เป็นกลุ่มติดอาวุธคอยโจมตีอีกฝั่งเช่นกัน
ตัดภาพมาที่ชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกา ที่ล่าสุดวันนี้ (20 มิ.ย. 68) มีรายงานจากทำเนียบขาวว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขอเวลาตัดสินใจ 2 สัปดาห์ ในการที่จะเข้าร่วมมือช่วยอิสราเอลหรือไม่ ขณะที่ชาติมหาอำนาจที่สนับสนุนอิหร่าน อย่างจีนและรัสเซีย ก็พร้อมจะเดินเกมเข้ามาเบรก หากอเมริกาเข้ามาร่วมวงสงครามอย่างเปิดเผย

ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ท่าทีการตัดสินใจของผู้นำอเมริกาว่า การต่อสู้ของอิสราเอลและอิหร่าน ตอนนี้ผ่านมา 1 สัปดาห์ ได้เห็นศักยภาพของทั้งสองฝ่ายสามารถตอบโต้กันได้ และสร้างความเสียหายให้กับทั้งคู่พอกัน ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ คงไม่มีใครชนะขาดหรือแพ้อย่างราบคาบ
...
แต่ทั้งสองฝ่ายมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เพราะสองประเทศไม่ได้มีดินแดนติดกัน มีระยะห่างกันเป็นพันกิโลเมตร ทำให้ต้องโจมตีด้วยขีปนาวุธ ใช้การรบทางอากาศเป็นหลัก แต่ก็จะมีการแทรกซึมบ้างในการใช้กองกำลังติดอาวุธแทรกซึมเข้ามาในประเทศ

การต่อสู้กันทางอากาศ มากกว่าการรบทางภาคพื้นที่เข้าไปยึดพื้นที่ ถือเป็นการรบที่ไม่มีใครแพ้หรือใครชนะ มีแต่จะทำให้สิ่งปลูกสร้างและประชาชนของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต
ที่สำคัญมีแต่จะสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งอิสราเอล ที่ต้องใช้เงินมหาศาลไปกับระบบป้องกันขีปนาวุธ ยิงแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายราว 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่นานทั้งสองฝ่ายต้องหาทางลง หากไม่มีประเทศมหาอำนาจเข้ามาช่วยเหลือ

สหรัฐตัวแปรสำคัญสงคราม อิหร่าน-อิสราเอล
สงครามอิหร่านและอิสราเอล ในฉากต่อไป ดร.ศราวุฒิ มองว่า สหรัฐจะเป็นตัวแปรสำคัญ ในการตัดสินใจเข้าร่วมกับอิสราเอล เพื่อจะทำการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยประสบการณ์ที่สหรัฐอเมริกาต้องคิดคือ 1.ในอดีตสงครามอิรัก ปี 2003 ครั้งนั้นสหรัฐสูญเสียทหารไปจำนวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะเริ่มถอนกำลังออกมาได้ 2.คนอเมริกัน ที่มีจำนวนไม่น้อยคัดค้านการไปร่วมกับอิสราเอลทำสงครามกับอิหร่าน มองเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
ส่วนเรื่องพันธมิตรในตะวันออกกลางของสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ ก็ต้องคิด หลายประเทศในกลุ่มที่ร่ำรวยน้ำมัน มีความต้องการให้ประเทศในตะวันออกกลางมีเสถียรภาพ เพราะกำลังเริ่มค่อยๆ พัฒนาในหลายประเทศ ให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่หลากหลาย ไม่ใช่พึ่งแค่น้ำมันอย่างเดียว
ด้วยผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาผูกติดกับอิสราเอลในตะวันออกกลาง ดังนั้น การอยู่รอดของอิสราเอลในสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะอิสราเอลเหมือนกับตำรวจ ที่คอยตรวจสอบการเติบโตของรัฐต่างๆ ในภาคตะวันออกกลาง และตรงนี้เป็นผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา

...
ถ้าสหรัฐไม่เข้ามาร่วมในสงคราม การที่อิหร่านและอิสราเอลจะหยุดยิงระหว่างกันมีสูงมาก เพราะทั้งคู่ต่อสู้กันมายาวนานกว่า 40 ปี เป็นสงครามตัวแทน และสงครามลอบสังหารบุคคลสำคัญ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักการทูต แต่การโจมตีครั้งล่าสุดถือว่าหนัก เป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรง
แต่ถ้าสหรัฐมาเข้าร่วมทำสงครามกับอิสราเอล ก็อาจเข้ามาแค่ปฏิบัติการเฉพาะกิจ ในการถล่มโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นก็จะถอนตัวออกมา แต่เมื่อเป็นอย่างนี้อิหร่านจะตอบโต้ โดยทำลายฐานทัพอเมริกาหลายแห่งในตะวันออกกลาง แต่จะไม่ยืดเยื้อ
อีกกรณีที่ยืดเยื้อ หากสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำสงครามเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของอิหร่าน จะทำให้สงครามยืดเยื้อ โดยต้องส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปอิหร่านด้วย และกลายเป็นสงครามใหญ่ ที่ลุกลามไปทั่วตะวันออกกลาง ซึ่งอาจยากต่อการควบคุม