ประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่ ย้ายคลื่นในมือ NT สู่เอกชน "อดีตกรรมการ กสทช." หวั่นซ้ำเติมตลาดผูกขาด ซ้ำ กสทช.ตั้งราคาขั้นต่ำน้อยเกินไป หวั่นรัฐอาจเสียผลประโยชน์หลายหมื่นล้าน
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่ จำนวน 4 ย่าน ระยะสัญญา 15 ปี รวมราคา 112,781.9 ล้านบาท ได้แก่
- 850 MHz จำนวน 2 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 2x5 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 7,738.23 ล้านบาท (รวม 15,476.46 ล้านบาท)
- 1500 MHz จำนวน 11 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 5 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 1,057.49 ล้านบาท (รวม 11,632.39 ล้านบาท)
- 2100 MHz จำนวน 3 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 2x5 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 4,500 ล้านบาท (รวม 13,500 ล้านบาท)
- 2300 MHz จำนวน 7 ชุดความถี่ ใบอนุญาตละ 10 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 2,596.15 ล้านบาท (รวม 18,173.05 ล้านบาท)
ส่วนใหญ่เป็นคลื่นของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ที่กำลังจะหมดสัมปทาน ส.ค.2568 นี้ และบางส่วนเป็นคลื่นใหม่ที่ กสทช. ถืออยู่ ซึ่งได้มีการเปิดยื่นซองไปแล้วเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา และจะมีการประมูลในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ซึ่งเอกชนที่เข้าร่วมประมูลมีเพียง 2 เจ้า คือ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด หรือ TRUE และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AIS
ทำให้ภาคประชาชน และเครือข่ายเพื่อผู้บริโภค อาทิ สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ออกมาร้องเรียนและยื่นฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง โดยมองว่าการประมูลครั้งนี้เอื้อการผูกขาดให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้น และ กสทช.ตั้งราคาประมูลขั้นต่ำน้อยเกินไป รัฐอาจเสียผลประโยชน์
...
ไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยประเด็นนี้กับ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. ถึงรายละเอียดการประมูล และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
คาดเอกชน ประมูลแค่ 2 จาก 4 คลื่น
ในส่วนของคลื่นที่มี NT เป็นเจ้าของเดิม ในคลื่น 2100 MHz ทาง NT ทำสัญญาให้ AIS เช่า ในราคาปีละ 3,900 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้ AIS เป็นผู้สร้างโครงข่ายและสามารถใช้งานคลื่นได้ 80% และอีก 20% แบ่งให้ NT
เช่นเดียวกับคลื่น 2300 MHz ที่ทาง NT ทำให้ DTAC (หรือ TRUE ในปัจจุบัน) เช่าในราคาปีละ 4,500 ล้านบาท โดยให้ DTAC เป็นผู้สร้างโครงข่ายและสามารถใช้งานคลื่นได้ 60% และอีก 40% แบ่งให้ NT
คลื่นที่ได้รับจัดสรรจากเอกชนเหล่านี้ NT นำไปให้บริการกับลูกค้าที่ซื้อซิมของตนเอง และปล่อยเช่าให้กับ MVNO (ผู้ประกอบการที่ไม่มีโครงข่ายและคลื่น)
นพ.ประวิทย์ จึงคาดว่า ในการประมูลครั้งนี้ เอกชนจะประมูลคลื่นที่เคยใช้งานและได้วางโครงข่ายไว้แล้วเป็นหลัก ในทางกลับกันเอกชนน่าจะไม่สนใจประมูลคลื่น 850 MHz เนื่องจากต้องวางโครงข่ายใหม่อีกหลายหมื่นล้านบาท และยังมีราคาสูงเนื่องจากเป็นคลื่นความถี่ต่ำที่แผ่สัญญาณได้ไกลกว่า นอกจากนี้เอกชนยังมีคลื่น 700 MHz และ 900 MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ต่ำกลุ่มเดียวกันให้บริการอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับคลื่น 1500 MHz ซึ่งคาดว่าไม่น่ามีเอกชนประมูล เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ยังไม่มีประเทศไหนใช้งานและไม่มีอุปกรณ์หรือโครงข่ายขายทั่วไป ดังนั้นหากเอกชนประมูล ก็ต้องวางโครงข่ายใหม่และสั่งทำอุปกรณ์พิเศษจากต่างประเทศ ซึ่งราคาย่อมแพงกว่าปกติ มีระยะคืนทุนนาน นอกจากนี้อุปกรณ์มือถือของผู้บริโภคก็ยังไม่รองรับด้วย
ราคาประมูลต่ำเกินจริง รัฐอาจเสียผลประโยชน์
นพ.ประวิทย์ ชี้ว่า NT เป็นรัฐวิสาหกิจ รายได้จากการให้บริการเองและให้เอกชนเช่าคลื่นความถี่จะนำส่งเข้ารัฐ แต่หากมาดูราคาประมูลที่ กสทช. ตั้งไว้คราวนี้พบว่า อาจสร้างรายได้ให้รัฐน้อยกว่าสมัยที่ NT ปล่อยเช่า
...
ในการตั้งราคาประมูลขั้นต่ำนั้น ขั้นแรก กสทช. จะใช้วิธีคำนวณทางเศรษฐศาสตร์ แต่มีข้อสังเกต เช่น ในคลื่น 2300 MHz กสทช.นำข้อมูลการประมูลคลื่นจากทั่วโลกมา 70 ชุดข้อมูล ในนั้นมีการประมูลคลื่น 2300 MHz ไม่เกิน 5 ชุด ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปในเชิงสถิติ ทำให้ได้ราคาประมูลที่ต่ำกว่าปกติ ทางกรรมการฯ เลยไม่รับราคานี้
ทำให้ กสทช. เลือกใช้วิธีที่สอง คือใช้ราคาประมูลเดิม เช่น ในคลื่น 2100 MHz ตั้งราคาเท่ากับการประมูลปี พ.ศ. 2555 ซึ่งในปีนั้นมีการลดราคาให้ 30% เพราะอยากให้เอกชนแข่งขัน แต่ท้ายที่สุดไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้นจริง เท่ากับว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็มีวิธีที่ 3 คือการใช้ราคาตลาดเป็นตัวกำหนด ซึ่งทางกรรมการ กสทช.ส่วนหนึ่งและองค์กรผู้บริโภค ชี้ว่า ราคาตลาดก็คือราคาที่เอกชนเช่า NT ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นราคาที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนเครือข่ายและไม่ได้ใช้คลื่นเต็ม 100% ด้วยซ้ำ แต่ กสทช.ไม่ได้เลือกใช้วิธีนี้
หากลองคำนวณดูแล้วจะพบว่า ราคาที่ กสทช. จัดประมูลในครั้งนี้ต่ำกว่าราคาตลาดมาก เฉลี่ยจะเหลือราว 40% จากที่เอกชนเคยจ่าย ซึ่งหากนำเอาเงื่อนไขที่เมื่อก่อนเอกชนต้องแบ่งให้ NT ใช้งานมาคำนวณด้วย จะพบว่า ในคลื่น 2100 MHz เอกชนจะจ่ายแค่ 30% จากราคาเดิม ในขณะที่คลื่น 2300 MHz เอกชนจ่ายแค่ 20% ของราคาเดิม ที่เหลือเป็นกำไร และในสภาพตลาดกึ่งผูกขาดอาจขึ้นราคาขายได้อีก ซึ่งอาจทำให้กำไรพุ่ง 100% ก็เป็นได้
“เดิม NT เป็นเจ้าของ รายได้ที่ NT ปล่อยเช่าต้องส่งเข้ารัฐ แต่จากนี้เอกชนไม่ต้องส่งใคร แล้วทำไม กสทช. ยังปล่อยให้ราคาขายต่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นได้”
...
อย่างไรก็ดี กสทช. มีการกำหนดเงื่อนไขในการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น กำหนดให้มีแพ็กเกจราคาถูกสำหรับกลุ่มเปราะบาง แต่หากดูกำไรที่เอกชนจะได้รับเพิ่มหลังการประมูลแล้ว กสทช.สามารถออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคได้ดีกว่านี้ เช่น กำหนดเพดานราคาค่าโทรและอินเทอร์เน็ตให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มได้เลย
นอกจากนี้ กสทช.ยังเปิดประมูลคลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz พร้อมกันซึ่งจะลดโอกาสการแข่งขัน เพราะผู้ร่วมประมูลต่างไม่กล้าดันราคาคลื่นที่อีกฝ่ายต้องการมากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะถูกดันราคากลับ ทำให้ราคาประมูลอาจไม่ต่างจากราคาตั้งต้นเท่าไหร่นัก
ตลาดผูกขาดหนักกว่าเดิม
นพ.ประวิทย์ คาดว่า หลังการประมูลครั้งนี้ สภาพการแข่งขันในตลาดจะแย่ลง เพราะ NT จะเหลือเพียงคลื่น 700 MHz ไว้ให้บริการ ซึ่งไม่เพียงพอ และอาจต้องเป็นฝ่ายไปเช่าของเอกชนแทน ที่ผ่านมา NT ก็แข่งขันกับเจ้าอื่นแทบไม่ได้อยู่แล้ว
...
นพ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า เราต่างรู้กันว่า 2 ค่ายใหญ่ มีสัดส่วนทางการตลาดเจ้าละราว 50% ในทางหลักการถือเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ในกรณีนี้ กสทช.สามารถออกมาตรการเพิ่มเติมได้ ตัวอย่างที่เคยออกมาแล้ว เช่น ผู้มีอำนาจเหนือตลาดห้ามขายบริการค่าโทรเกินนาทีละ 99 สต. ซึ่งหาก กสทช. ประกาศให้เอกชนเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ก็จะสามารถบังคับใช้มาตรการนี้ได้ทันที
“กสทช. ควรทบทวนการประกาศผู้มีอำนาจเหนือตลาดทุก 2 ปี ซึ่งการควบรวมธุรกิจก็เกิน 2 ปีแล้ว เหตุใด กสทช. จึงไม่ยอมประกาศให้ 2 รายใหญ่เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด และกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เหมือนกับว่าสำนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือเปล่า”
แนวทางจัดการประมูล ลดการผูกขาด
นพ.ประวิทย์ ชี้ว่า จากการที่ กสทช.ปล่อยให้เอกชนควบรวมธุรกิจ ทำให้สภาพตลาดโทรศัพท์มือถือของไทยตกอยู่ในสภาพกึ่งผูกขาด เหลือเพียง 2 ค่ายใหญ่ ซึ่งในทางทฤษฎีจะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องแข่งขันกันเพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ และไม่ต้องแข่งขันกันด้านราคา ดังนั้น กสทช. ต้องหาแนวทางลดการผูกขาดให้ได้ โดยเสนอแนวทางว่า
1. กสทช. ต้องวางแผนจัดสรรคลื่นความถี่ให้ผู้เล่นรายที่ 3 ยกตัวอย่างในต่างประเทศ มีการเปิดประมูลคลื่นสำหรับรายใหม่โดยเฉพาะ หากไม่มีผู้ประมูลจริงๆ จึงจะเปิดให้รายเก่าประมูล และต้องสำรองคลื่นทุกย่านให้รายใหม่ประมูล เพื่อให้สามารถวางโครงข่ายได้อย่างครอบคลุม
2. ขยายเวลาเปิดประมูลให้นานขึ้น ปัจจุบันเมื่อ กสทช. ประกาศเปิดประมูล จะมีเวลาแค่ 30 วันก่อนเปิดให้ผู้สนใจมายื่นร่วมประมูล และ 30 วันถัดมาก็ประมูลเลย ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่เตรียมตัวไม่ทัน เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษากฎระเบียบและเตรียมเงินลงทุน เวลาที่เหมาะสมควรเป็น 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
3. ปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับให้ง่ายต่อการเริ่มกิจการ ต้องยอมรับว่าหลายผู้ประกอบการในไทยมีจุดเริ่มต้นจากทุนต่างประเทศ แต่กฎหมายไทยห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการโทรคมนาคม เราจึงได้เห็นวิธีการหลบหลีกให้ต่างชาติเข้ามาประกอบกิจการผ่านนิติบุคคลไทย แต่บริษัทระดับโลกหลายแห่งก็อยากเข้ามาอย่างถูกต้องและได้สิทธิในการดูแลกิจการเอง ซึ่งหากไทยกังวลเรื่องความมั่นคง ก็กำหนดสัดส่วนให้เหมาะสม เช่น ในเขตข้อตกลงการค้าเสรีบางแห่งสามารถให้ต่างชาติถือครองหุ้นได้กว่า 70% ดังนั้นถ้าไทยจะปรับให้ต่างชาติถือครองหุ้นได้ 55-60% จะเป็นไปได้หรือไม่
"ยกตัวอย่าง ฟิลิปปินส์ เคยมีผู้เล่นในตลาดมือถือจาก 3 เหลือ 2 ราย ต่อมาก็มีนโยบายจนกลับไปเป็น 3 รายได้ อาจต้องใช้เวลาหน่อยแต่จำเป็นต้องทำ คำถามคือ กสทช. มีโยบายเหล่านี้หรือไม่"