กัมพูชาเปิดเกมรุก ส่งเรื่องไปศาลโลก ทั้งที่ยังเปิดโต๊ะเจรจา JBC กับตัวแทนไทย กรณีพิพาทริมชายแดน “นักกฎหมายระหว่างประเทศ” จับตาเงื่อนไขรับคดี ทั้งที่ไม่ได้รับการยินยอมจากไทย ย้ำที่ผ่านมาหลายคดีเขตแดนสร้างความแตกแยก ชี้ “ฮุน เซน” ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ว่า ระงับข้อพิพาทจบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เป็นความจริง
การเจรจา JBC กรณีเขตแดนไทย-กัมพูชา เข้าสู่วันที่ 2 หลังจากวันแรก (14 มิ.ย. 68) ต้องยุติการเจรจา แต่ทางกัมพูชากลับยื่นเรื่องไปยังศาลโลก ทั้งที่ไม่ได้รับความยินยอมจากไทย โดยวันนี้ (15 มิ.ย. 68) รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือทางการไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อช่วยหาทางออกปัญหาพัฒนาชายแดน

ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เช้าวันนี้ (15 มิ.ย. 68) นายกรัฐมนตรีกัมพูชาประกาศว่า ได้ยื่นหนังสือไปยังศาลโลกแล้ว เพื่อนำข้อพิพาทพื้นที่ช่องบก และปราสาท 3 หลังไปให้ศาลตัดสิน กัมพูชาจะฟ้องตามฐานอะไร เขตอำนาจศาลมาจากไหน ขอให้ติดตามเว็บไซต์ศาลต่อไป
...
ถ้ามีแค่ press release ออกมา แสดงว่า เป็นการฟ้องฝ่ายเดียวแบบศาลไม่มีเขตอำนาจ (forum prorogatum) เพื่อเชิญให้ไทยรับเขตอำนาจ แต่หากศาลเอาเข้าสาระบบความ ขึ้นเว็บไซต์ มีหมายเลขคดี แสดงว่า มีอะไรมากไปกว่า forum prorogatum เกิดเป็นคดีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันว่า การนำข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน เขตแดนไปให้ศาลตัดสิน ไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับทั้งสองประเทศ แม้จะถอดหมวกคนไทย คืนบัตรประชาชนไปชั่วคราว ก็ยังคิดเช่นนั้น การไปศาลเพื่อระงับข้อพิพาทไม่ได้เป็นผลดีเสมอไป เพราะคำพิพากษาศาลมักทำให้เกิดผู้แพ้ ผู้ชนะ และความพ่ายแพ้นี่แหละ บางครั้งจะอยู่ในใจประชาชนในประเทศฝ่ายที่แพ้เป็นบาดแผลไม่หาย และทำให้ความสัมพันธ์สองประเทศย่ำแย่ลงไปอีก

แม้ศาลจะพยายามตัดสินให้เป็นคุณกับทั้งสองฝ่าย คำพิพากษาก็ถูกตีความว่ามีฝ่ายชนะ ฝ่ายแพ้อยู่ดี ข้อนี้ ทั้งนักวิชาการและนักปฏิบัติเรื่องการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐได้ข้อสรุปตรงกัน ยิ่งเป็นเรื่องดินแดน เรื่องเขตแดน เรื่องมรดกทางวัฒนธรรม ยิ่งเป็นเช่นนั้น เพราะคนในชาติรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง วิธีการระงับข้อพิพาทที่เป็นผลดีมากกว่า และยั่งยืนมากกว่า คือ การเจรจาจนทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ ในกรอบเวลาที่ทำได้ ตามที่ทั้งสองฝ่ายสะดวก จนได้ผลลัพธ์ที่เป็นที่ยอมรับได้ในทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย
เมื่อวาน ท่านฮุน เซน ยกตัวอย่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำคดีไปสู่ศาลโลก เพราะเป็นการระงับข้อพิพาทที่จบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ไม่เป็นความจริงเลย คดีมาเลเซีย สิงคโปร์ ทั้งสองประเทศทำความตกลงกัน นำ "เกาะ" 3 เกาะที่พิพาทกันไปให้ศาลตัดสินว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยฝ่ายใด โดยตั้งใจรวม "เกาะ" ทั้งสามเกาะให้ศาลวินิจฉัยเป็นเซ็ตเดียว แต่ศาลกลับฉีกออกเป็นแต่ละส่วน เกาะหนึ่งตัดสินให้สิงคโปร์ อีกเกาะหนึ่งให้มาเลเซีย

ส่วนอีก "เกาะ" หนึ่งศาลบอกว่าไม่ใช่เกาะ แต่พื้นที่ที่จะจมน้ำในช่วงน้ำขึ้น ศาลจึงไม่ตัดสิน ให้ไปเจรจากันเองว่าอยู่ในน่านน้ำใคร ผ่านไปเกือบยี่สิบปี ข้อพิพาทก็ยังไม่จบ ความรู้สึกคนในประเทศก็ไม่จบ มาเลเซียจึงกลับไปศาล ร้องขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษาและตีความคำพิพากษาไปพร้อมๆ กัน
...
ด้วยเหตุนี้ Sir Eli Lauterpacht ปรมาจารย์ชาวอังกฤษด้านกฎหมายระหว่างประเทศแห่งศตวรรษที่ 20 อดีตที่ปรึกษารัฐบาลออสเตรเลีย และทนายความที่มีประสบการณ์มากที่สุดท่านหนึ่ง มีคำสอนอมตะเกี่ยวกับการฟ้องคดีในศาลระดับระหว่างประเทศว่า ‘The first rule of international litigation is to avoid it if at all possible.’