วิกฤติช่องบก – กำแพงภาษี บททดสอบภาวะผู้นำ "แพทองธาร" นักวิชาการประเมิน จุดเสี่ยง การสื่อสารกับประชาชนไม่ชัดเจน กระทบความเชื่อมั่น พร้อมประเมิน 3 ประเด็นข้อพิพาทกัมพูชา นายกฯ ต้องบริหารทั้งศึกในและศึกนอก

ไทยภายใต้การนำของนายกฯ "แพทองธาร ชินวัตร" ต้องเผชิญกับ 2 เหตุการณ์สำคัญ ที่แม้จะต่างบริบทกัน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องแสดงภาวะผู้นำ ทั้งเรื่องการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า 36% ของประธานาธิบดีสหรัฐ "โดนัลด์ ทรัมป์" ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา และปัญหาเรื่องพรมแดนกับกัมพูชา ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ที่ต้องมีการคลี่คลายในระยะยาว

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ว่า บริบทของพรรคเพื่อไทยในการบริหารประเทศอาจไม่เป็นเหมือนอดีตสมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ตอนนั้นหลายคนติดภาพว่าท่านมีภาวะผู้นำสูง ทำให้แก้วิกฤติได้รวดเร็ว แต่ตอนนี้คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยในสภาฯ ยังไม่ได้เด็ดขาดมากเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย

ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญปี 60 ทำให้เกิดภาวะรัฐบาลผสม มีพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีอำนาจต่อรอง รวมถึงกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ด้วยข้อจำกัดนี้ ต่อให้คุณทักษิณเป็นนายกฯ ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะแก้ปัญหาได้รวดเร็วเหมือนอดีต

...

“ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารคุณแพทองธารยังไม่มากนัก ถือเป็นข้อจำกัดส่วนตัว การจะไปโทษคุณแพทองธารทั้งหมดก็ไม่ได้”

ถ้าวิเคราะห์ถึงการทำงานความเป็นผู้นำ ในประเด็นกำแพงภาษีสหรัฐ คุณแพทองธารมีการออกมาแถลงถึงมาตรการรับมือชัดเจนกว่าประเด็นข้อพิพาทกัมพูชา เนื่องจากเรื่องกำแพงภาษีเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับคนทั่วโลก เกี่ยวโยงกับบทบาทของชาติมหาอำนาจ ต่างจากเรื่องเขตแดนกัมพูชาที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องใช้ความระมัดระวังในการแสดงท่าทีมากกว่า

กรณีของกัมพูชา ไทยเป็นคู่ขัดแย้งกันโดยตรง ถ้านายกฯ แสดงทัศนะอะไรไป คนที่ได้รับผลกระทบจะเป็นประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน รวมถึงทหารหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ต่างจากปัญหากำแพงภาษี ที่การแสดงทัศนะท่าทีของนายกฯ จะง่ายกว่า

จากการทำงานในภาวะที่ต้องเผชิญทั้ง 2 วิกฤติ รัฐบาลต้องเพิ่มในเรื่องการสื่อสารกับผู้คน เป็นสิ่งที่นายกฯ และคนในรัฐบาลต้องปรับ โดยเฉพาะต้องมีวอร์รูมด้านการข่าวที่ชัดเจน เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความเชื่อมั่น เกิดความมั่นใจ เช่น ต้องสื่อสารกับประชาชนว่า รัฐบาลทำอะไรมาแล้วบ้าง และในสภาวะวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่จะดำเนินการอย่างไรต่อ รวมถึงจะทำอะไรต่อไปเพื่อแก้ปัญหา นี่เป็นจุดที่เรายังไม่เห็นความชัดเจนจากรัฐบาลชุดนี้

3 ประเด็นข้อพิพาทกัมพูชา นายกฯ ต้องบริหารภาวะผู้นำ

รศ.ดร.ยุทธพร มองบทบาทของนายกฯ ต้องคำนึงเรื่องเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา ต้องแยกออกจากกันเป็น 3 ประเด็นดังนี้

1. การเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีใครอยากเสียดินแดน ซึ่งเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ต้องมีวิธีการดำเนินงานอย่างสันติ ถ้าวันนี้ไปสู้ในเรื่องข้อกฎหมาย ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และการที่กัมพูชาพยายามดึงไทยเข้าสู่ศาลโลก เราก็ยังไม่รู้ว่าเขามีหลักฐานอะไรบ้าง เพราะอย่าลืมว่ากัมพูชารับมรดกเหล่านี้มาจากฝรั่งเศส ที่มีความเข้มข้นในการเก็บจดหมายเหตุ และข้อมูลในด้านประวัติศาสตร์ ไทยเลยต้องใช้มาตรการในทางเศรษฐกิจเพื่อกดดัน

...

2. การเมืองภายในประเทศของไทยและกัมพูชา ต้องทำอย่างไรไม่ให้ถูกโยงใยในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของครอบครัวผู้นำ โดยเฉพาะในไทย มีคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างกระแส เพื่อนำไปสู่ความหวังผลด้านการเมืองที่จะล้มรัฐบาล ทั้งที่เรื่องนี้เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ ที่ไม่ควรนำมาเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ใด

3. บทบาทกองทัพและทหาร ที่ตอนนี้ปฏิบัติสงครามจิตวิทยาข่าวสาร แต่ทั้งมวลต้องอยู่ในหลักการว่า กองทัพต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และต้องอยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่เป็นปฏิบัติการที่สร้างความชอบธรรม นำไปสู่การรัฐประหาร