สัมพันธ์ลึกตระกูล “ฮุน-ชินวัตร” จากรุ่นพ่อสู่ลูก "นักวิชาการ" วิเคราะห์ กัมพูชาเล่นเกมล้มกระดาน เดินหน้าลากไทยไปศาลโลก ตั้งข้อสังเกต กดดันชายแดน ฉวยโอกาสให้ไทยเป็นแพะรับบาป หวังปั้นบารมีการเมือง "ฮุน มาเนต"

การปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ส่อเค้าบานปลาย แม้ช่วงแรกมีการคุยกันระดับผู้นำทางทหาร พร้อมมีข้อตกลงให้เจรจาในเวที JBC แต่ฝั่งกัมพูชา กลับยืนยันไม่ถอนทหาร แต่จะนำเรื่องดังกล่าวไปขึ้นบนเวทีศาลโลก ด้านไทย วันที่ 6 มิ.ย.68 จะเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติด่วน เพื่อสรุปมาตรการตอบโต้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน

นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ตอบกระแสวิจารณ์บนโลกออนไลน์ ถึงการที่ตระกูลชินวัตร สนิทกับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงความสัมพันธ์ระดับของผู้นำถือว่าเป็นมิตรกัน ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะมีเพื่อน ทุกคนมีเพื่อนได้ ถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน หรือไม่เข้าใจกัน ต้องปรับความเข้าใจกัน ถ้าเป็นด้านการค้า

แม้มีการตั้งข้อสังเกตถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง ตระกูล "ฮุน" กับ "ชินวัตร” พร้อมกับประเด็นขัดแย้งกับกัมพูชา ในพื้นที่ริมชายแดนหลายครั้ง "ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง" คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ว่า ความสัมพันธ์ของสองตระกูลมีความแนบแน่นที่ล้ำลึก ประกอบกับเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดของทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันไม่ได้ยึดโยงกับการเป็นเครือญาติอย่างเดียว แต่เป็นการยึดโยงกับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาของประเทศด้วย เพราะนักธุรกิจฝั่งไทย ไปลงทุนที่กัมพูชา ค่อนข้างมาก และนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตร ก็มีจำนวนมาก

...

“เรื่องส่วนตัวกับเรื่องการเมืองมีความสัมพันธ์กันแบบแยกไม่ออก โดย ฮุน เซน มีแรงกดดันอยู่ภายในประเทศค่อนข้างมาก ประกอบกับ สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านที่อยู่ฝรั่งเศส ยังเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีคนที่ไม่พอใจ การบริหารของ ฮุน มาเนต นี่จึงเป็นการฉวยโอกาส เพื่อทำให้ไทยเป็นแพะรับบาปทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาใช้ได้ผลเกือบทุกครั้ง แต่หนนี้จะต้องทุ่มกำลังหนักกว่าครั้งก่อน เนื่องจากสังคมในกัมพูชา โดนไอโอ ของฝั่งตรงข้ามประโคมว่า ฮุน เซน ไม่กล้าทำอะไรไทย เพราะเกรงใจตระกูลชินวัตร"

การดำเนินการปูพรมของฝั่งกัมพูชา ตั้งแต่เรื่องเกาะกูด ปราสาทตาเมือนธม ไปถึงช่องบก จึงมีการทำงานกันอย่างเป็นระบบ เพราะ ฮุน เซน เห็นแล้วว่าต้องประคับประคองเพื่อสร้างบารมีให้กับ ฮุน มาเนต เพราะต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาเขาได้รับความช่วยเหลือจากฝั่งไทย ในการได้รับทุนนายร้อยเวสต์ปอยต์ โดยกองทัพบกไทยให้ทุน นี่จึงเป็นภาพที่ทำให้คนกัมพูชาดูจะไม่ค่อยเชื่อมั่นผู้นำคนใหม่ เพราะคนกัมพูชาบางส่วนมองไทยเป็นคู่แข่งมาตลอด ดังนั้น ไทยจึงเป็นโจทย์ที่เขาพยายามนำมาหักล้างในทุกมิติ

จุดเริ่มต้นเกิดจากในปี 2537 คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และเป็นรอยต่อของรัฐบาลในห้วงเวลานั้นที่ดำเนินนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ไทยก็ซื้ออนาคต หลังจากคาดการณ์ว่า ฮุน เซน จะขึ้นมาเป็นใหญ่ในกัมพูชา และครองอำนาจในระยะยาว ซึ่งในช่วงนั้นคุณทักษิณ ก็เริ่มได้รู้จักกับ ฮุน เซน

การแก้ปัญหาตรงนี้ จึงน่าสนใจว่าฝั่ง "ชินวัตร” ไม่ได้ใช้การแก้ปัญหาแบบเต็มกำลัง เพราะจะเห็นว่า 1 อาทิตย์ที่ผ่านมากัมพูชา เล่นเกมล้มกระดานในทุกมิติ ไม่ยอมเจรจา ส่งเรื่องไปศาลโลกอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า จากเรื่องที่ไม่มีอะไร แต่ทางกัมพูชาทำให้ดูมีอะไร

...

“รอบนี้ไทยไม่อยากไปเล่นเกมศาลโลกตามกัมพูชา เพราะมีบาดแผลทางความรู้สึก แม้จะกินเวลาหลายปีกว่าจะตัดสิน โดยเฉพาะหลักฐานเรื่องช่องบก ที่ผู้สร้างศาลาตรีมุกก็เป็นทหารไทย ดังนั้นภาพถ่ายเก่าที่เป็นต้นขั้วก็ชัดเจนว่าอยู่ในฝั่งไทย ซึ่งไทยไม่ได้กลัวตรงนั้น แต่รู้สึกว่ารำคาญ ขณะเดียวกันข้อมูลต่างๆ ก็มาจากภาคประชาชนที่พยายามกดดันให้รัฐบาลตอบโต้กัมพูชาด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว”

ไทยควรดำเนินนโยบายตอบโต้กัมพูชา แบบรุนแรงมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะให้ไปตอบโต้เพื่อให้เกิดสงคราม แต่ควรฟังหน่วยงานมั่นคงทางทหาร เพราะทุกครั้งกัมพูชา จะอ่อนลง ถ้าไทยมีการดำเนินการโต้กลับที่แข็งกร้าว ซึ่งจากการที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่มีผู้นำจากตระกูลชินวัตร แล้วทางกัมพูชา มักจะมีปัญหาบริเวณชายแดน เนื่องจากเขาอ่านเกมไทยออก เนื่องจากทุกครั้งที่ตระกูลนี้ขึ้นมาจะสามารถกดกองทัพไทยไว้ได้ เลยทำให้กัมพูชาใช้แผนเดิมๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองและสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน