มัดรวมวันสุดท้าย ศึกอภิปรายงบฯ ปี 69 ผ่านฉลุย เดินหน้าสร้างมูลค่าอาหารท้องถิ่น เพิ่มงบกรมโรงงานปราบทุนเถื่อน ฝ่ายค้านยันจัดสรรงบไม่ตรงเป้า สร้างความมั่นใจเอกชนเทงบลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันนี้ 31 พ.ค. 68 ที่ประชุมสภาฯ ในการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นวันสุดท้าย และมีการลงมติเห็นชอบ 322 คน ไม่เห็นชอบ 158 งดออกเสียง 0 ไม่ลงคะแนน 2 จากจำนวนผู้ลงมติ 482 โดยในการอภิปรายวันนี้ มีรัฐมนตรีเข้ามาตอบคำถามการอภิปราย และทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลได้กล่าวสรุป ดังนี้

กระทรวงวัฒนธรรม เดินหน้าสร้างมูลค่าอาหารถิ่น

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของไทย อภิปรายชี้แจงว่า งานมหกรรมสร้างสรรค์และเจรจาธุรกิจ ที่มีท่านสมาชิกได้กล่าวถึง งานนี้ได้จัดต่อเนื่องจากผู้ประกอบการจาก 2,400 คน 20 จังหวัด ในงานนี้มีการคัดเลือกผู้ประกอบการ 200 ราย มาร่วมงานเพื่อจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งมีการเจรจาที่คาดว่าจะสร้างรายได้ปีละ 200 ล้านบาท ซึ่งในเรื่องที่ท่านสมาชิกแสดงความห่วงใย ทางกระทรวงจะปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น

...


สำหรับการจัดทำงบประมาณปี 2569 โดยพยายามนำทุนทางวัฒนธรรมไปต่อยอดทางธุรกิจคือ นำทุนวัฒนธรรมสังคมไทย ไปต่อยอดทางมรดกทางวัฒนธรรม


การส่งเสริมวัฒนธรรมในการสร้างมูลค่าและคุณค่า เป็นอีกแนวทางที่ต้องทำเพื่อสร้างเศรษฐกิจ โดยทางกระทรวงได้จัดการท่องเที่ยวยามราตรี ซึ่งได้รับตอบรับเป็นอย่างดี และคาดว่าอนาคตจะมีการจัดในทั่วทุกภูมิภาค


ขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าทางอาหารทางวัฒนธรรม เช่น ต้มยำกุ้ง ที่มีการส่งเสริมให้รู้จักมากขึ้นในต่างชาติ โดยผลักดันให้เป็นมรดกโลก และมีการจัดโครงการอาหารถิ่นที่กำลังหายไปในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อฟื้นฟูให้คนนอกพื้นที่รู้จักและสร้างรายได้

กระทรวงอุตสาหกรรม ปราบทุนเถื่อนเพิ่มงบจัดการ

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงถึงการทำงานว่า มีกลุ่มธุรกิจที่ไม่หวังดีต่อประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ร่วมกับกลุ่มเหล่านั้น โดยมีการนำขยะจากต่างประเทศ และมีการนำกากอุตสาหกรรมมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน โดยปีงบประมาณปีนี้ทำให้ได้รับงบประมาณปี 69 เพิ่มขึ้นให้กับกรมโรงงานเกือบ 10 เท่า จาก 17 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท โดยงบประมาณนี้จะเชื่อมโยงกับปีงบประมาณหน้าอีก


แต่ที่มาของเงินไม่ใช่มาจากงบประจำปีเท่านั้น เช่น กรณี “วิน โพรเสส” ที่ตอนแรกไม่ได้มีงบประมาณ แต่ก็ไปผันเอางบที่อื่นมาก่อน และมีการตั้งงบประมาณจัดการปัญหา “วิน โพรเสส” ทั้งปีนี้และปีหน้า จึงทำให้เชื่อได้ว่าเราจะจัดการให้หมด สำหรับคนที่ทำผิดในเรื่องกากอุตสาหกรรม และโรงงานที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะกวาดจับให้หมด ต่อให้มีเงินเท่าไหร่ก็ต้องไปใช้ในคุก

...

ประกันสังคมอนาคตเสี่ยงล้มละลาย

สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน กล่าวว่า งบประมาณของประกันสังคม สำหรับงบประมาณปี 69 โดยกระทรวงแรงงานได้รับจัดสรรงบ 68,069 ล้านบาท งบสำนักงานประกันสังคมได้รับจัดสรร 61,666 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 90 เปอร์เซ็นต์ของทั้งกระทรวง แม้งบประมาณจะมาก แต่ไม่เพียงพอในการจ่ายให้กับผู้ประกันตนในอนาคต


คนที่อายุ 30 ปี ตอนนี้ อนาคตมีความเสี่ยงตอนเกษียณอาจจะไม่ได้เงินบำนาญจากประกันสังคม คือเบาะในการรองรับจะหายไป โดยท่านรัฐมนตรีก็ยังออกมายอมรับว่ากองทุนประกันสังคมจะล่มสลายในอีก 30 ปีข้างหน้า แต่การที่รัฐบาลจะแก้ปัญหา โดยการยืดอายุการเกษียณ แต่ต้องเริ่มจากที่ตัวเองคือ การใช้หนี้ประกันสังคม หนี้ที่ติดผู้ประกันตนทั้งประเทศ มีความเข้าใจผิดว่า รัฐบาลเพิ่งมาติดหนี้ไม่นาน แต่จากข้อมูลที่มี เริ่มติดหนี้ตั้งแต่ปี 2534


จนถึงวันนี้รัฐบาลติดหนี้ผู้ประกันสังคม 56,000 ล้านบาท สิ่งสำคัญไม่ใช่วันนี้รัฐเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ แต่ทุกปีที่รัฐเบี้ยวหนี้ กลับเป็นการขโมยเงินอนาคตของประชาชน


ขณะที่การซื้อรถหรูของประกันสังคม โดยการเอางบสามสี่ล้านไปซื้อรถหรู เขียนโครงการสวยหรูว่า รถภารกิจกระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม แต่ที่จริงเอารถไปใช้ประจำตำแหน่ง แต่ยังมีการเอางบประมาณผู้ประกันตนไปแต่งเบาะนวดไฟฟ้า เพื่อความสบายของคนนั่ง แล้วเปลี่ยนรถทุก 2 ปี ซึ่งเอารถปลดประจำการไปบริจาควัด

...

งบกองทัพยังเน้นยุทธศาสตร์เป็นหลัก

สุทิน คลังแสง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า งบกลางจัดสรรแค่นี้ จะรองรับความผันผวนได้หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ได้เกิดเหตุร้าย ก็จะมีการทำงบประมาณกลางปีอีกครั้ง แต่การลดงบกลางลง แล้วไปเพิ่มงบประมาณหน่วยประจำก็ดีแล้ว


วันนี้สินค้าเกษตรและเอสเอ็มอีลำบากจริง โดยแผนหนึ่งใช้งบประมาณแผ่นดินทำ อีกส่วนเป็นงบประกันรายได้เกษตรกร ขณะเดียวกันมีรายได้นอกงบประมาณ และรายได้ช่วยเหลือ ขณะเดียวกันการวางยุทธศาสตร์ส่งออก และเจรจาเป็นเรื่องใหญ่กว่าเงินประกันรายได้ ที่เป็นเพียงแค่การเยียวยา เช่นเดียวกับกระทรวงเกษตรต้องปรับปรุงการผลิต แต่เกษตรกรต้องมีความเข้มแข็ง


ส่วนเรื่องกองทัพ ในการปรับขนาดให้เล็กลง แต่เรื่องความมั่นคงเอาฐานงบประมาณเดิมมาวัดไม่ได้ แต่ต้องดูฐานการพัฒนาของประเทศคู่แข่งด้วย ตลอดจนการดูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านตามสถานการณ์โลก ดังนั้นงบของทัพถ้าอันไหนไม่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์สถานการณ์ก็ต้องตัด แต่ถ้าอันไหนที่เกี่ยวกับยุทธการก็ต้องเห็นใจเขา

...

การจัดการงบปี 69 ใช้ไม่ตรงเป้า

ศิริกัญญา ตันสกุล สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า การพิจารณางบประมาณปี 69 ความรู้สึกไม่ต่างจากในอดีตที่ต้องรื้อหมด แต่การรื้อหมดรัฐบาลก็ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศคือ ต้องยุบสภา แต่วันนี้ได้เรียนรู้การเมืองแห่งความเป็นจริง ไม่มีนายกฯ คนไหนที่จะยุบสภาฯ ตอนที่ฐานคะแนนเสียงย่ำแย่ ยกเว้นที่ศึกภายในจากพรรคร่วม แต่อย่ามาเอาพรรคประชาชนไปเป็นตัวประกันในการทะเลาะกันของพรรคร่วมรัฐบาล


ในฐานะฝ่ายค้านจะตรวจสอบงบประมาณให้เต็มที่ และตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก และโครงการที่เสี่ยงจะคอรัปชั่นออก เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างเต็มที่

เศรษฐกิจต้องเพิ่มการลงทุนเอกชน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่แค่งบประมาณของภาครัฐอย่างเดียว แต่ภาคเอกชนต้องมีบทบาทอย่างมาก เราเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตมากกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ มีอยู่ช่วงหนึ่งเติบโต 6 – 9 เปอร์เซ็นต์ โดยการลงทุนของภาครัฐกับเอกชน ที่มีความใกล้เคียงกัน 50 เปอร์เซ็นต์ โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเติบโต


แต่ถ้าเราเอาการลงทุนรายจ่ายภาครัฐบวกกับการลงทุนรายจ่ายของภาคเอกชน เราจะพบว่าถ้าเราจ่ายไปเท่าไหร่แล้วมีการลงทุนเยอะ ซึ่งเกิดจากจะทำอย่างไรให้เอกชนมั่นใจกลับไปลงทุนในระดับเดิม
ถ้าย้อนกลับไป 15 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า การลงทุนของภาครัฐค่อนข้างสม่ำเสมอ อยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ซึ่งอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลงมาต่ำมาก ดังนั้น การลงทุนแค่นี้ คำถามคือแล้วการลงทุนเท่าไหร่ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต แปลว่าถ้าต้องการจะเติบโตให้ได้จากการลงทุน ต้องมีการเพิ่มงบประมาณรัฐในการลงทุน เพื่อให้แข่งขันได้กับเศรษฐกิจโลก

เนื่องจากการลงทุนภาครัฐมีข้อจำกัด ดังนั้นการลงทุนภาคเอกชนต้องมีการกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น เพราะตอนนี้หายไปเกือบครึ่ง ถ้ากระตุ้นให้มีการลงทุนของเอกชนเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ต้องสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้มากขึ้น