ชยพล สท้อนดี สส.พรรคประชาชน อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 โดยเน้นประเด็นไปที่งบของกระทรวงกลาโหม โดยเขาระบุว่า งบประมาณ 2.04 แสนล้านบาทของกระทรวงกลาโหม เพิ่มขึ้นมา 2.36% จากงบประมาณปี 2568 (เพิ่มจากเดิม 4.7 พันล้านบาท)

ชยพล ระบุว่า หากไล่ตามแผนงานของกองทัพจะเห็นว่าเรียงตามอันดับจะพบว่า

  1. งานด้านบุคลากร งบปี 69 คือ 1.08 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 ราว 1.5 พันล้านบาท
  2. งบงานยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ปี 69 จำนวน 3.7 พันล้านบาท ลดลงจากปี 68 ราว 226 ล้านบาท
  3. งบพื้นฐานความมั่นคง ปี 69 จำนวน 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 จำนวน 187 ล้านบาท
  4. แผนยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ หรืองบซื้อซ่อมอาวุธต่างๆ ปี 69 จำนวน 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 จำนวน 3.2 พันล้านบาท

ตามตัวเลขจะพบว่า งบประมาณเกือบครึ่งของกลาโหม จะอยู่ที่งบบุคลากร และถ้ารวมงบด้านสวัสดิการและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อยู่ในแผนงานพื้นฐานความมั่นคง ก็จะเห็นว่ามีจำนวนมากเป็น 2 เท่าของค่ายุทโธปกรณ์

“รัฐบาลและกองทัพพูดตลอดว่ามีนโยบายลดกำลังพล ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีภาพสะท้อนออกมาจากการจัดงบประมาณเลย”

นอกจากนี้ โครงการที่รัฐบาลออกมาพูดอยู่บ่อยๆ คือ โครงการ Early Retire เพื่อแก้ไขปัญหาจำนวนนายพล โดยตั้งเป้าให้คนเข้าโครงการปีละ 244 คน ใช้งบปีละ 200 ล้านบาท 3 ปี ถ้าทำได้ตามเป้า จะประหยัดงบประมาณได้ถึง 4.4 พันล้านบาทในระยะยาว

แต่โครงการนี้ตามมติ ครม. ในช่วงปีงบ 69-70 กลับให้เงินก้อนได้แค่ 7-10 เดือนเท่านั้น และไม่ได้ให้ยศเพิ่มขึ้น เทียบกับมติ ครม. ปี 57-61 ยังให้เงินก้อนตั้ง 10-15 เท่าเลย คำถามคือ ผู้ที่มีอายุราชการเหลืออย่างน้อย 24 เดือน จะยอมเข้าโครงการนี้ไปทำไม ในเมื่ออดทนอีกสักนิดถึงเกษียณ อย่างไรก็ได้เงินเยอะกว่า นั่นทำให้ปี 67 มีคนเข้าร่วมโครงการแค่ 98 คนเท่านั้น

...

ชยพล ได้เสนอ 3 ขั้นตอนการจัดการอาวุธ 3 ประการ ได้แก่ วางแผนให้ดี ซื้อให้พอ และซ่อมให้ถึง

ยกตัวอย่างกรณีกองทัพเรือต้องการเรือฟริเกตเพื่อใช้ลาดตระเวน จำนวน 8 ลำ แต่ปัจจุบัน เรามีเรือเหลืออยู่ 4 ลำ (และกำลังเหลือแค่ 3 ลำหลังเรือหลวงรัตนโกสินทร์ปลดประจำการ) แปลว่าไทยต้องการเรืออีก 5 ลำเพื่อให้ครบตามความต้องการ

“แต่ในงบปี 69 นี้ กองทัพเรือบรรจุคำของบมาแค่ 1 ลำเท่านั้น นี่คือความบกพร่องในการวางแผนและเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนและยกระดับอุตสาหกรรมการต่อเรือฟริเกต”

ชยพล มองว่าการลงทุนของกองทัพจะช่วยผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับผลจากการลงทุนของภาครัฐได้

ตัวอย่างคือ เรือหลวงภูมิพล อายุใช้งานไม่ถึง 10 ปี แต่เพราะการวางแผนที่ไม่ดีทำให้กองทัพเรือไม่มีเรือใช้งาน เลยต้องใช้เรือหลวงภูมิพลอย่างหนักจนเลยรอบการซ่อม ทำให้เรือพังหนักหลังภารกิจที่ออสเตรเลีย ทำให้เราเสียงบประมาณค่าเครื่องยนต์เพิ่ม 240 ล้านบาท ยังไม่นับการซ่อม

“จริงๆ ความเสียหายครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการสลับเข้าซ่อมบำรุงตามวงรอบเท่านั้น”

ชยพล ชี้ให้เห็นถึงงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับจัดสรรสำหรับซ่อมบำรุงอาวุธ ซึ่งลดลงต่อเนื่อง แต่ปัญหาเคยลดตาม ดังภาพ

ปัญหาของการจัดซื้อเรือทีละลำคือ หนึ่ง อำนาจการต่อรองราคา นั่นคือถ้าเราซื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต่อรองราคาได้มาก การที่เราตกลงซื้อเรือทีละลำ ทำให้ต้องรับภาระราคาที่สูงเกินทั้งที่เราต้องการเรือมากกว่า 1 ลำ

สอง โอกาสการลงทุน เมื่อซื้อทีละน้อยๆ การดึงดูดผู้ลงทุนทั้งจากประเทศต้นทางหรือภายในประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตเรือก็ไม่คุ้มค่าการลงทุน

สาม สภาพการพร้อมรบ เมื่อเรือไม่พอ ซ่อมไม่ทัน ก็ยิ่งพังมากกว่าเดิม แล้วกองทัพที่ไม่มีอาวุธใช้จะพร้อมรบได้อย่างไร

ชยพล ยังกล่าวถึงประเด็น มาตรฐานยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ต้องได้รับการอนุมัติก่อนถึงจะซื้อขายให้เหล่าทัพไทยได้ ประเด็นคือแต่ละกองทัพมีมาตรฐานของตัวเอง การที่ผู้ประกอบการไทยจะขายยุทโธปกรณ์ให้กองทัพก็ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน 4 ครั้ง ซึ่งใช้เวลานานมาก ทำให้ผู้ประกอบการเจอความยากลำบากในการขายสินค้าให้กองทัพ รวมถึงการกำหนด TOR ที่ขาดความโปร่งใส ผู้ผลิตสัญชาติไทยก็ถูกกีดกัน

นอกจากนี้ กองทัพไม่เคยชี้แจงในเอกสารคำของบประมาณเลยว่า ซื้อยุทโธปกรณ์อะไรบ้าง ด้วยการอ้างเหตุผลทางด้านความมั่นคง และจัดให้ข้อมูลนั้นอยู่ในชั้นความลับ

ชยพล ได้นำข้อมูลลับบางประการมากล่าวถึง นั่นคือ การจัดชั้นความลับให้ยากต่อการตรวจสอบของผู้แทนประชาชน โดยเขามองว่า ยุทโธปกรณ์เพื่อการบรรเทาสาธารณภัยซึ่งถูกจัดให้เป็นข้อมูลลับนั้น เพื่ออะไร? มีความละเอียดอ่อนถึงขั้นสะท้อนความสามารถของกองทัพไทยได้ขนาดไหน?

นอกจากนี้ ชยพล มองว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ยุทโธปกรณ์บางส่วนเหล่านี้ กองทัพบกจะอุดหนุนผู้ประกอบการไทย เช่น ยางรถยนต์ ซึ่งในความเป็นจริง กองทัพบกเลือกที่จะตั้งโรงงานมาผลิตเอง และใช้สินค้าจากโรงงานชื่อย่อ ‘รง.ซย.กรซท.ศซส.สพ.ทบ.’ ย่อมาจากโรงงานซ่อมยางกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างอุปกรณ์สายสรรพวุธ กรมสรรพวุธทหารบก

...

ชยพล ชวนดูสมุดปกขาวของกองทัพบก หัวข้ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยกองทัพบกตั้งเป้าสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศโดยการเป็นผู้ผลิตเอง โดยให้เอกชนมีส่วนร่วมเล็กน้อย

“ชยพลมองว่า ส่วนนี้คนไทยสามารถมีส่วนร่วมได้ในวันนี้ นี่คือ 3.6 พันล้านที่ผู้ประกอบการไทยควรมีส่วนร่วม แถมข้อมูลในเอกสารควรเป็นความลับหรือไม่?”

ชยพล ได้ตั้งข้อสงสัยถึงงบประมาณของกองทัพที่แม้แต่ผู้แทนราษฎรก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ โดย ส.ส. รู้แค่ชื่อโครงการและตัวเลขเงิน แต่ไม่รู้ว่าใช้ไปกับอะไรบ้าง สะท้อนถึงความโปร่งใสของการใช้งบของกองทัพว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงของชาติหรือความมั่นคงของใคร

จากข้อมูล ชยพล ชี้ว่า ค่าใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการป้องกันประเทศและเงินราชการลับนั้น เป็นงบประมาณส่วนหนึ่งที่ไม่มีการชี้แจง และถูกสงสัยว่าเป็นงบที่ถูกสงสัยว่าเป็นปฏิบัติการคุกคามประชาชน หรือ ไอโอภาค 5 หรือไม่

“เป็นรัฐพันลึกอย่างแท้จริง เพราะถามสำนักงบก็ตอบไม่ได้ ถามกรมบัญชีกลางก็บอกว่าให้ไปหาเอาเอง ถามจาก สตง. ก็บอกว่าตรวจสอบแค่การใช้เงิน ส่วนเอาเงินไปทำอะไรไม่มีใครรู้ เราจะถามหาความรับผิดชอบจากใคร”

...

นอกจากนี้ ชยพล ยังยกเป็นเด็น ค่าโง่เกือบ 1.6 หมื่นล้านบาทที่จ่ายไปแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เรือดำน้ำ

โดยชยพล กล่าวว่า 28 พ.ค. 2568 ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ว่า อนุมัติหลักการสำหรับเรือฟริเกตมากกว่า 1 ลำไม่ได้ และบอกว่าเงินไม่เหลือพอที่จะอัพเกรดเรือลำอื่นๆ ด้วย เพราะต้องเอาเงินไปจ่ายค่าเรือดำน้ำ

“เรือดำน้ำยังหาเครื่องยนต์ไม่เจอเลย จะไปจ่ายอะไรให้เขาอีก”

ชยพล ระบุว่า สาระสำคัญของเรื่องนี้คือ ต้องการมียื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดยโจทก์คือกองทัพเรือ รมว.กลาโหมขณะนั้น และ ครม. ที่อนุมัติเรือดำน้ำลำนี้มา เพื่อฟ้องเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทของคนไทยคืนมาพร้อมดอกเบี้ย

ชยพล เสนอตัดงบกลาโหมในงบปี 69 จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยเขายกตัวอย่างเงินราชการลับ ที่ไม่มีใครรู้ว่าใช้เพื่ออะไร รวมถึงค่าใช้จ่ายการสนับสนุนซ่อมกำลังบำรุง ที่ดูเหมือนเป็นงบซ่อมอาวุธ แต่กลับไม่ใช่เลย โดยเขากล่าวว่ากองทัพชอบตั้งงบมาลอยๆ แต่เป็นงบที่ชอบโดนโอนเปลี่ยนย้ายโดยไม่มีการตรวจสอบการใช้งาน ดังภาพ

...

ชยพล ทิ้งท้ายในประเด็น พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 43 ที่นโยบายการจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามมติสภากลาโหม โดยมีนายพล 20 กว่าคนนั่งรุมรัฐมนตรีอยู่ ทำให้ไม่มีทางที่เราจะจัดสรรงบประมาณงบกลาโหมให้มีประสิทธิภาพได้

“ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีที่ถูกบังคับให้ต้องอ่อนแอ กระทรวงกลาโหมและกองทัพจึงอยู่ในจุดที่ต้องอ่อนตาม การจัดสรรงบประมาณไม่ได้เป็นไปเพื่อประสิทธิภาพ แต่จัดสรรไปตามระบบแบ่งเค้ก”

'กลาโหม' ตอบ ทำไมคนลดลงแต่งบเพิ่มขึ้น

ด้านพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลุกขึ้นตอบประเด็นของ ชยพล ว่า เรื่องงบประมาณของกระทรวงกลาโหม แม้ดูว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่หากวัดในสัดส่วนของงบประมาณประเทศแล้ว จะมีสัดส่วนที่ลดลง

ส่วนเรื่องที่สอง เหตุใดข้อมูลต้องเป็นความลับ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ในระเบียบการรักษาความปลอดภัย บุคคล เอกสาร สถานที่ ถ้าเอกสารส่วนใดส่วนหนึ่งมีชั้นความลับ ก็ถือว่าทั้งฉบับต้องรับทั้งหมด บางทีท่านอาจเห็นในส่วนที่ไม่น่าจะเป็นความลับ แต่ในเอกสารทั้งหมดนั้น มีส่วนหนึ่งที่เป็นความลับอยู่ เราจึงถือว่าทั้งหมดต้องเป็นความลับ

ส่วนเรื่องงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้นนั้น กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการลดกำลังพลมาโดยตลอด โดยทหารชั้นนายพล เรามีเป้าหมายลดเหลือ 384 อัตรา ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิในปี 2570 กล่าวคือ ต้องลดจากปัจจุบัน 378 อัตรา ซึ่งเมื่อถึงปี 2568 ได้ปรับลดไปแล้ว 308 อัตราแล้ว

พลเอกณัฐพล กล่าวในประการต่อมาคือ กระทรวงกลาโหมได้ควบคุมยอดการผลิตกำลังพลจากนักเรียนนายสิบและนายร้อย ซึ่งลดมาตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2530 และพยายามทรงยอดนี้ไว้โดยไม่เพิ่มจำนวน อีกทั้งกระทรวงกลาโหมมีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ซึ่งจริงๆ แล้ว แนวคิดของกระทรวงในการทำโครงการนี้ ใช้งบประมาณของกระทรวงเองโดยไม่ขอจากรัฐบาล ดังนั้น ในงบที่มีอยู่สามารถจ่ายได้ 7-10 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม ตนได้กราบเรียนนายกฯ แล้วว่า คณะกรรมาธิการทหารได้เสนอให้ปรับเพิ่มขึ้น และคงมีการปรับปรุงต่อไป

สุดท้ายซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการปรับลดกำลังพล กระทรวงกลาโหมมีแผนการปรับลดกำลังพลในภาพรวมตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา จากเดิมยอด 237,818 นาย จะร้อยละ 5% ให้เสร็จภายในปี 2570 กล่าวคือ ปรับลดลงราว 12,000 อัตรา ซึ่งปัจจุบัน ปรับลงไปแล้ว 9,000 อัตรา

พลเอกณัฐพล ตอบคำถามว่า ทำไมงบบุคลากรเพิ่มขึ้นนั้น เมื่อเปรียบเทียบกำลังพลเมื่อปีที่แล้ว ราว 2.3 แสนอัตรา แต่ปีนี้มีเพียง 2.28 แสนอัตรา ลดจากปีที่แล้ว 3,000 กว่าอัตรา กล่าวคือ จำนวนกำลังพลลดลง แต่งบบุคลากรเพิ่มขึ้น สาเหตุคือ

  1. มีการปรับเงินเดือนราชการตามนโยบายรัฐบาล ที่ให้เพิ่มเงินเดือน 10% ภายใน 2 ปี และกำลังพลระดับปริญญาตรีปรับเพิ่มเป็น 18,000 บาท รวมทั้งการเพิ่มขึ้นค่าครองชีพชั่วคราว
  2. มีการปรับค่าตอบแทนพิเศษของทหารกองประจำการ หรือพลทหาร เดือนละ 11,000 บาท และเพิ่มเงินชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือนแรกบรรจุเข้ารับราชการเท่ากับ 18,000 เท่ากัน

โดยสรุป คนลดลง แต่มีรายละเอียดของการเพิ่มเงินของกำลังพล ทำให้งบบุคลากรของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้น

พลเอกณัฐพล กล่าวต่อในประการต่อมาคือ ปัจจุบันเรามีการพัฒนาระบบจัดหายุทโธปกรณ์ ส่วนเรื่องฟรีเกต ผมเห็นด้วยกับเหตุผลของท่านเลย เพราะชั้นส่งคำของมานั้น กองทัพเรือขอมา 2 ลำ รวม 3.5 หมื่นล้านบาท ฉะนั้น ระดับนโยบายเป็นกังวลว่า ถ้าจัดหาสองลำและมีเหตุไม่คาดคิดจนจัดหาไม่เรียบร้อย รัฐบาลจะสูญเสียเงินไปถึง 3.5 หมื่นล้านบาท จึงให้กองทัพเรือทยอยหามา 1 ลำก่อน ซึ่งจริงๆ แล้ว ในการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ เรามีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมาย และเมื่อดูเหตุผลด้านอื่นๆ แล้ว กระทรวงกลาโหมได้ตัดสินใจให้กองทัพเรือหาเพียง 1 ลำไปก่อน

นอกจากนั้น ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ กระทรวงพยายามส่งเสริมเรื่องงานวิจัยและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอยู่ โดยปัจจุบัน กลาโหมสามารถผลิตยุทโธปกรณ์ขึ้นมาได้คือ

  1. การพัฒนาปืนใหญ่ขนาด 155 มม. แบบอัตตาจรล้อยาง (ATMG)
  2. เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 มม. แบบอัตตาจรล้อยาง (ATMM)
  3. ปืนเล็กยาวขนาด 9 มม.
  4. ปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มม.
  5. จรวดหลายลำกล้องอัตตาจร 122 มม. แบบ DTI-2
  6. รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ แบบ D11A
  7. หุ่นยนต์เก็บกู้ระเบิด รุ่น D-Empir V.4
  8. ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 ATV
  9. ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 AFV
  10. ยานเกราะสะเทินน้ำสะเทินบก AWAV 8x8
  11. เรือระบายพลขนาดกลาง
  12. อากาศยานไร้คนขับ U1
  13. เสื้อเกราะกันกระสุน

นอกจากนี้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการกำหนดให้เหล่าทัพเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด จากเดิมที่กำหนดว่า ‘ยุทโธปกรณ์ที่จะเข้าสู่ระบบการจัดหาของกองทัพหรือเลือกแบบ ต้องประจำการในประเทศผู้ผลิตนั้น’ ในเมื่อยุทโธปกรณ์หลายอย่างผลิตในประเทศไทย การกำหนดเช่นนี้ทำให้ยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในไทยไม่สามารถเข้าระบบกองทัพได้ ดังนั้น ต่อไปกระทรวงกลาโหมจะกำหนดว่า ประจำการในประเทศผู้ผลิตหรือได้รับรองมาตรฐานจากกระทรวงกลาโหม หรือได้รับรองมาตรฐานจากเหล่าทัพ เพื่อเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น