กัมพูชา ตรึงกำลังชายแดน หลังปะทะบริเวณ "ช่องบก" จ.อุบลราชธานี รศ.ดร.ดุลยภาค วิเคราะห์กลศึกรุกคืบอาจซ้ำรอยเขาพระวิหาร ชี้ไทยตรึงกำลังพร้อมโต้กลับ นำเสนอหลักฐานรุกล้ำบนเวทีอาเซียน เช็กกำลังอาวุธหนักจีน เพิ่งซ้อมรบกัมพูชา

เหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณ "ช่องบก" จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ (28 พ.ค. 68) ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ล่าสุด เพจ Samdech Hun Sen of Cambodia โพสต์ข้อความว่า ท่าน ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กำลังระดมกำลัง และอาวุธไปยังชายแดน คือการดำเนินแผนสำรองเพื่อปกป้องความมั่นคงของกัมพูชา แม้ก่อนหน้านี้ไทยกับกัมพูชา จะเจรจาการหยุดยิง แต่การตรึงกำลังริมชายแดน ก็สร้างความตึงเครียดให้กับทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันมีแรงกดดันจากประชาชนของทั้งสองประเทศ

เหตุปะทะกันบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา วิเคราะห์ว่า กรณีดังกล่าวเป็นยุทธศาสตร์กดดันในหลายมิติจากทางกัมพูชา มีการใช้ความสัมพันธ์ทางเครื่องมือระหว่างประเทศ เช่น ทางทหาร "สมเด็จฮุนเซน" อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศถึงการนำอาวุธหนักมาตรึงบริเวณริมชายแดน เพื่อเตรียมปฏิบัติการ หากมีความขัดแย้งกับทหารไทย

...

ขณะเดียวกันมีปฏิบัติการด้านวัฒนธรรมชาตินิยม เช่น ก่อนหน้านี้มีคณะบุคคลข้ามมาร้องเพลงบริเวณปราสาทหินของไทย และมีปฏิกิริยาจากกลุ่มชาตินิยมของทางกัมพูชา ในการเคลมเพื่อเรียกร้องดินแดนจากไทย ซึ่งมีมิติจากหลายภาคส่วนกดดันประเทศไทยด้วยเหมือนกัน

กัมพูชา มีท่าทีแข็งกร้าวและผ่อนสั้นผ่อนยาวคือ 1.ต้องปล่อยช่องทางให้มีการเจรจากับไทย ในระดับแม่ทัพและรัฐบาล 2.การเดินเกมครั้งนี้ มีการวางแผนเป็นระยะ เป้าหมายของกัมพูชา ต้องการได้เปรียบเชิงดินแดนในเขตพื้นที่ช่องบก และเขตปราสาทตาเมือน โดยเฉพาะเทือกเขาอีสานใต้ บริเวณพนมดงรัก ยังมีการปักปันเขตแดนไม่ชัดเจน ซึ่งกัมพูชาต้องการทำให้ตัวเองได้เปรียบในเรื่องดินแดน

ถ้าวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มมาตั้งแต่ปี 2554 เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร เกี่ยวโยงกับกฎหมายระหว่างประเทศ สิ่งนี้เป็นเครื่องมือกัมพูชา ใช้มาอย่างต่อเนื่อง และมารอบนี้คงคล้ายกัน และสิ่งที่ "ฮุน เซน" พูดย้อนร้อยไปถึงการปะทะกันในปี 2554 ในฐานะไทยเป็นผู้รุกราน ซึ่งก็วาดภาพไทยในลักษณะเป็นผู้รุกรานแล้วทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต โดยเป็นภาพที่มีดีต่อฝั่งไทย

แต่ถ้าดูคำแถลงของแม่ทัพภาคที่ 2 บอกว่าเป็นการยั่วยุจากฝั่งกัมพูชาก่อน แล้วก่อนหน้านี้ จุดช่องบกเคยมีข่าวว่า ทหารกัมพูชา ลักลอบเข้ามาขุดคูเลต ทั้งที่ใน MOU 43 ได้ตกลงว่า ทั้งสองฝ่ายห้ามกระทำเช่นนั้น ซึ่งไทยต้องทำให้ชัดว่าถ้ากัมพูชา รุกล้ำมาก่อน ไทยควรนำประเด็นนี้เข้าไปในเวทีประชุมอาเซียน หรือเครือข่ายระหว่างประเทศ เพื่อให้เห็นพฤติกรรมการรุกล้ำของกัมพูชา เพราะเป็นความขัดแย้งกับหลักสันติภาพตามแนวชายแดน

ถ้าย้อนไปดูการปะทะกันบริเวณปราสาทพระวิหาร ปี 2554 ความสัมพันธ์ของชนชั้นนำทั้ง 2 ประเทศน่าจะดี เพราะ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กับ "ฮุน เซน" แต่เกิดปัญหาการปะทะกัน ดังนั้น ครั้งนี้เหมือนกัน แม้ตระกูลผู้นำทั้งสองฝั่งจะแนบแน่นกัน แต่ในพื้นที่ริมชายแดนมีการปะทะกัน โดยค่อยๆ มีพฤติกรรมยั่วยุ ให้เกิดช่องว่างบางอย่าง และเก็บไปเป็นเรคคอร์ด เพื่อพัฒนาไปสู่การต่อสู้ทางศาลระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นแทคติกที่เคยใช้มาในช่วงเกิดเหตุปราสาทพระวิหาร

“เห็นชัดว่าตอนเกิดเหตุเขาพระวิหาร กัมพูชามีการยั่วยุ ปฏิบัติการทางวัฒนธรรม และทางกฎหมายควบคู่กันไปพร้อมกับปัญหาของเขตแดน เหตุการณ์นี้มีที่มาที่ไป เพราะถ้าดูภาพใหญ่ของการเมืองกัมพูชา ไม่ว่าจากฝั่งชนชั้นนำหรือประชาชนสายชาตินิยม เพราะมีเขตแดนทางบก ทางเทือกเขาพนมดงรักฝั่งอีสานใต้ ยังปักปันเขตแดนไม่ชัด อย่างช่องบกตรงสามเหลี่ยมมรกต แต่มีพรมแดนทางทะเลอีกตรงอ่าวไทย”

...

สำหรับไทยต้องพยายามเล่นบทสันติภาพ ในฝ่ายการเมืองและต่างประเทศ เพราะมี MOU 43 ทางบกฝั่งอีสานใต้ แต่การทำคูเลต ของกัมพูชา เป็นการฝืนข้อตกลง โดยไทยต้องทำให้นานาประเทศเห็นว่าเป็นการขัดขืนไม่ให้เกิดสันติภาพภายในพื้นที่พรมแดน

ขณะเดียวกัน ไทยต้องเตรียมพร้อม โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี ต้องเคลื่อนอาวุธหนักเข้าไปประจำการ เพราะ "ฮุน เซน" สั่งเคลื่อนอาวุธมาริมชายแดนแล้ว และห้ามถอนทหารในจุดที่เป็นข้อพิพาท

กองทัพกัมพูชา ได้รับสนับสนุนอาวุธหนักจากจีน

รศ.ดร.ดุลยภาค ตั้งข้อสังเกตว่า กองทัพกัมพูชา ตอนนี้ได้รับอาวุธหนักบางส่วนมาจากจีน ล่าสุดเพิ่งซ้อมรบร่วมกับจีน และมีการส่งมอบอาวุธทันสมัย ทำให้กองทัพกัมพูชา มีความฮึกเหิมเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น ปืนใหญ่อัตตาจร จรวดยิงระยะไกล

ถ้าย้อนไปดูการปะทะกันครั้งศึกปราสาทพระวิหาร พบว่าทหารกัมพูชาช่วงนั้นได้จรวดมาจากรัสเซีย แล้วยิงเข้ามาในชายแดนอีสานใต้เห็นห่าฝน แต่ไทยก็ใช้ปืนใหญ่ซีซ่าร์โต้กลับ จนล็อกเป้าหมายในการโจมตีได้ชัด ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต สิ่งนี้สะท้อนว่า ชนชั้นนำนักการทหารของกัมพูชา มีความไม่ไว้วางใจเพื่อนบ้าน ซึ่งพยายามให้เกิดการปะทะแบบจำกัดขอบเขต แล้วให้จบเร็ว เก็บหลักฐานบางอย่างไว้ เพื่อนำไปสู่ในชั้นคดีของศาลระหว่างประเทศ

...

“หากทหารกัมพูชา เสียชีวิตเขาก็จะเล่นบทน่าสงสารว่าทหารไทยรังแก แต่ถ้ากัมพูชารุกได้เปรียบจะยึดพื้นที่ฝั่งไทย แล้วทำให้ดินแดนของกัมพูชาเพิ่มขึ้น เลยเป็นเกมที่เดินในลักษณะนี้ เพียงแต่ว่าอาวุธกัมพูชาก็มั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะอาวุธจากจีน แต่อย่าลืมว่ากองทัพไทย ก็พัฒนาจรวดที่ยิงได้ระยะไกล 300 กม. เดิมมีแค่ระยะ 180 กม. ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่กัมพูชาจะโจมตีไทยได้ง่ายเหมือนก่อน”