ภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส. พรรคประชาชน อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 โดยเน้นประเด็นไปที่งบของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบและการควบคุมการใช้เงินที่ฝ่ายบริหารขอมายังสภา ให้เหมาะสม ถูกต้อง คุ้มค่า แต่ในความเป็นจริง หน่วยงานนี้กลับใช้เงินภาษีอย่างฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่า ดังนี้

หนึ่ง - การใช้ประโยชน์พื้นที่สภาไม่คุ้มค่ากับขนาดของสภา ที่มีถึง 424,311 ตร.ม. ด้วยงบก่อสร้าง 2.2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ อาคารนี้ใช้งานมาไม่ถึง 5 ปี ยังไม่หมดประกันในส่วนของโครงสร้างอาคารด้วยซ้ำ แต่ในงบปี 2569 กลับมีคำขอโครงการใหม่ขนาดใหญ่ถึง 15 โครงการ มูลค่าราว 3.5 พันล้านบาท ตัวอย่างเช่น

  1. โครงการโรงหนัง 4D งบ 180 ล้าน ภัณฑิล ชี้ว่า เอกชนเจ้าของโรงหนังลงทุนในห้างกลางเมืองเพียงหลักสิบล้าน แต่รัฐสภากลับใช้หลักร้อยล้าน
  2. งบปรับปรุงส่วนส่องสว่าง 117 ล้านบาท ภัณฑิล ตั้งคำถามว่า ใช้หลอดไฟแบบไหนถึงตั้งงบหลักร้อยล้าน?
  3. ปรับปรุงห้องประชุม 118 ล้านบาท โดยภัณฑิล ชี้ว่า ห้องที่มีอยู่ก็ใช้ได้ และมีระบบถ่ายทอดสด ระบบจับใบหน้าขึ้นทุกมุมห้องอยู่แล้ว
  4. ห้องประชุม 1,500 ที่นั่ง งบปรับปรุง 99 ล้านบาท ซึ่งใช้ได้แค่งานภายในเท่านั้น ปล่อยเช่าไม่ได้เพราะติดเรื่องระเบียบ
  5. งบปรับปรุงศาลาแก้ว 113 ล้านบาท ทั้งที่พื้นที่ใช้สอยร้อยกว่าตารางเมตรนี้ ไม่มีใครเคยเข้าไปใช้
  6. งบปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา 99 ล้านบาท
  7. งบปรับปรุงฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา 133 ล้าน
  8. ค่าออกแบบที่จอดรถใต้ดินรัฐสภา 105 ล้านบาท (ทั้งที่งบสร้างที่จอดรถใต้ดินรัฐสภา ที่แพงกว่าตึก สตง. สองเท่า ยังไม่ได้รับการอนุมัติ) แถมเปิดยื่นข้อเสนอแค่ 10 วันสำหรับออกแบบอาคารที่จอดรถมูลค่า 4 พันกว่าล้าน
  9. คำขอโครงการสร้างคลังแสงอาวุธรัฐสภา 20 กว่าล้าน

...

"มีไปทำไมคลังแสงอาวุธ จะไปสู้รัฐประหารหรือ ท่านมาสู้อะไรตอนนี้ ท่านก็ไปแก้รัฐธรรมนูญเอา ถ้ามีคนทำรัฐประหาร หรือจะเอามาปราบพวกเรากันเอง อยู่ข้างใต้พวกเรา ขึ้นลิฟต์มาชั้นเดียว น่ากลัวจริงๆ"

นอกจากนี้ ภัณฑิล ยังกล่าวถึงงบอบรมสัมมนา ภายใต้แผนยุทธศาสตร์พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งงบก้อนนี้เพิ่มขึ้น 6 เท่าใน 3 ปี นั่นคือ ปี 2567 งบ 135 ล้านบาท ปี 2568 งบ 358 ล้านบาท และปี 2569 งบ 864 ล้านบาท

ภัณฑิล อธิบายว่า งบในส่วนนี้ถูกขอไปเพื่อ ‘แจก’ เป็นเงินทุน เงินบริจาค เงินสนับสนุนให้กับประชาชนโดยตรง ซึ่งมีลายเซ็นของผู้บริหารสภากำกับไว้เรียบร้อย ซึ่งขนาดข้าราชการเองยังลำบากใจเลย มาบอกกับตนว่า ผู้บริหารสภาชงแจกเงิน เพราะมันทำไม่ได้ แต่คนจะเอาก็จะเอาให้ได้ กดดันข้าราชการจนมีคำแนะนำว่า ถ้าจะทำให้ได้ก็ต้องจัดเป็นการอบรมสัมมนา จึงมีการแก้เอกสารในโครงการนี้ ซึ่งภายหลังเมื่อโดนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดงบประมาณในส่วนนี้ออกไป ก็ไม่พอใจ ก็ยังมีการขอแปรเพิ่ม ได้มาครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ขอไป และเมื่อได้งบมาแล้ว ก็ตั้งคณะกรรมการมาดูแลโครงการโดยตั้งตัวเองชื่อย่อ 'พ.' และเพื่อน ส.ส.พรรคเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน มานั่งติดกัน อีกทั้งในจังหวัดเชียงราย ก็มีโครงการของสภา ที่มีงบประมาณ ในทุกตำบล หมู่บ้าน โดยในเอกสารเหล่านั้น ก็ยังเหมือนกันทุกตัวอักษร

“เจ้าหน้าที่ของสำนักงานประธานสภา ต้องจัดงานสัมมนาประมาณ 1,300 งานใน 1 ปี วันละเกือบ 4 งานแบบไม่มีวันหยุด ถึงจะใช้งบที่มีให้หมดได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้”

ภัณฑิล ชี้ว่า หน่วยงานรู้อยู่แล้วว่าใช้งบไม่หมด แต่งองบไว้ก่อนเพื่อโยกงบไปใช้ทำอย่างอื่น โดยไม่ต้องผ่าน ครม. ไม่ต้องผ่านขั้นตอน พ.ร.บ. งบประมาณตามปกติ เช่น การจัดกองเกียรติยศของตำรวจสภาในงานพิธีต่างๆ คำถามคือ เอาเงินมาจากไหน นำมาจากโครงการที่ไปล้วงกระเป๋าเยาวชนมาหรือไม่ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ใช้ไม่หมด

“ในอนาคต ก็ได้ยินมาว่า จะมีแผนโยกงบในส่วนนี้ไปใช้ในโครงการก่อสร้างอีก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายชัดเจน การส่อทุจริตเช่นนี้ ต้องรีบจัดการ เพราะสภาควรเป็นแบบอย่างในการบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้แนวคิดจากฐานศูนย์ที่จำเป็นเท่านั้น อย่าไปยึดติดกับอดีต ใครตั้งมาอย่างไร ก็บวกเพิ่มขึ้นไป”

ภัณฑิล ทิ้งท้ายว่า ถ้าสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ยังมีมโนสำนึก ความละอายต่อประชาชนที่เขาเลือกท่านผู้ทรงเกียรติเข้ามาทั้งหลาย ควรสำรวจตัวเอง ติดตามประเมินการใช้งบประมาณในทุกรายการอย่างเข้มงวด ทำให้เป็นตัวอย่าง ช่วยกันจับทุจริต ประหยัดงบสภา หาเงินช่วยรัฐบาล

“อย่าคิดว่าไม่ได้เป็นรัฐมนตรีจะอยู่เหนือการตรวจสอบ ไม่มีใครสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ สามารถพาท่านไปทานข้าวแถวสนามบินน้ำได้แน่นอน เพราะถูกรางวัลทุจริต เจอกันที่ ป.ป.ช.ครับ”