สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.พรรคประชาชน อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ในประเด็นงบประมาณด้าน SMEs โดยฉายให้เห็นว่า SMEs วันนี้อยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะสถานการณ์หนี้เสียของ SMEs ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ธปท. ได้รายงานตัวเลขภาคธุรกิจ โดยพบว่าหนี้เสียของธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที่ราว 1% เท่านั้น ต่างจากหนี้เสียของ SMEs ที่พุ่งถึง 7.35% ซึ่งเป็นหนี้เสียที่สูงกว่าช่วงโควิดเสียอีก

สิทธิพลยังกล่าวถึงนโยบาย SMEs ที่รัฐบาลแถลงเป็นนโยบายเร่งด่วน และจะดูแลส่งเสริมพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ แก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs และจัดทำ Matching Fund ทว่าวันนี้ สิ่งที่ SMEs รู้สึกว่านโยบายที่จับต้องได้มากสุดของรัฐบาล คือ นโยบายเก็บภาษี SMEs

โดยงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับ SMEs ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2569 มีจำนวน 4.19 พันล้านบาท ซึ่งการจัดงบฯ SMEs มีปัญหาดังนี้

งบล่าช้า จากการดองงบประมาณ Matching Fund

โดยงบ Matching Fund นั้น สสว. ได้ของบไป 5 พันล้านในปี 2567 ปรากฏว่าผ่านไป 1 ปี ประเสริฐ จันทรรวงทอง ให้สัมภาษณ์ว่ากำลังทบทวนรูปแบบการขออนุมัติวงเงิน หมายความว่าของบไป 1 ปีแล้วแต่ยังไม่ใช้ และไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร และต่อมา สส. ได้ชี้แจงใน กมธ. โดยชี้แจงว่ากำลังพิจารณาเกณฑ์ให้กู้ยืมอยู่ คาดว่าเสร็จ ก.ค. 2568

“แบบนี้แปลว่าท่านเอาเงินไปดองไว้ปีครึ่ง ยังไม่ได้เอาไปทำอะไรเลย แล้วเงินจะไปถึงประชาชนเท่าไหร่ นี่คือค่าเสียโอกาสของประเทศนี้”

ความซ้ำซ้อน หลายเจ้าภาพ แต่ SMEs เข้าไม่ถึง

โดยงบปี 2569 สำหรับ SMEs จำนวน 4.19 พันล้านบาท ตัวชี้วัดมี SMEs เข้าถึงงบนี้ ต่ำกว่า 200,000 ราย คิดเป็นเพียง 6% ของ SMEs เท่านั้น นอกจากนั้น งบ SMEs กระจายอยู่อย่างน้อย 31 หน่วยงาน กลายเป็นว่างบซ้ำซ้อน และ SMEs ที่ลำบากจริงๆ เข้าไม่ถึง

...

ข้อมูลจากรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์ของ สสว. พบว่าสิ่งที่ SMEs ต้องการมากที่สุดคือการขยายตลาด และสิ่งที่รัฐจัดงบให้นั้น คืองบอบรมระยะสั้น

ต่อมาคือโครงการ SME One - Stop Service (OSS) โดยเป็นบริการที่ สสว. จัดให้มีทุกจังหวัด โดยของบมาปีละ 60 กว่าล้าน 4-5 ปีต่อเนื่อง แต่ปัญหาที่เจอในโครงการนี้คือ เปลี่ยนเจ้าหน้าที่บ่อย ไม่มีความต่อเนื่อง ไม่มีแรงกระตือรือร้นในการหาลูกค้าใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะตัวชี้วัดของศูนย์นี้เน้นจำนวน แต่ไม่ได้เน้นว่าจะพัฒนา SMEs ได้จริงแค่ไหน

ต่อมาคือโครงการ SME One ID ศูนย์กลางช่วยเหลือ SMEs ให้เข้าถึงบริการรัฐแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งใช้งบไปแล้ว 5 ปี จำนวน 50 ล้านบาท แต่คนที่เข้าไปใช้ประโยชน์น้อยมาก ไม่ถึง 10% ส่วนปี 2569 โครงการนี้ของบมาอีก 40 ล้านบาท

ความน่าสนใจคือ ปี 2567 มีตัวเลขผู้มาใช้งานในระบบ 2 แสนราย แต่ปี 2568 ตัวเลขกลับพุ่งขึ้น 1 ล้านราย จากการสอบถามไปยัง สสว. พบว่า สสว. ชี้แจงว่าใช้งานจริงได้แค่ 2 แสนรายเท่าเดิม เพราะติดปัญหาเรื่องเชื่อมและส่งข้อมูลกับหน่วยงานอื่นอยู่ดี ดังนั้น 8 แสนรายที่เพิ่มมา ยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ

ต่อมาคือโครงการแบบ One Size Fits All ที่ไม่ตอบโจทย์ SMEs และไม่มีการทำ GAP Analysis ประเมินความต้องการที่แท้จริง โดยสิ่งที่ SMEs ต้องการคือ ลดต้นทุน พัฒนาทักษะ และเงินทุน แต่สิ่งที่รัฐจัดงบคือ SMEs ทุกขนาดต้องการแบบเดียวกัน ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของ SMEs

นิ่งเฉย ไม่ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ เพิกเฉยประโยชน์ของ SMEs

จากกรณีกำแพงภาษีสหรัฐ แม้วันนี้ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ จะเพิ่งระงับคำสั่งมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่ความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นแล้ว และภาษีรายสินค้าหลายตัวก็ยังอยู่ โดยข้อมูลจากแบงก์ชาติ ในระยะสั้นจะมี SMEs ได้รับผลกระทบราว 5 พันกิจการ กระทบแรงงานหลายแสนคน

การจัดงบใหม่เพื่อตอบโจทย์สงครามการค้าจึงสำคัญ แต่เมื่อรัฐบาลไม่ทบทวน สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นโครงการเดิมที่ตั้งไว้ก่อนที่สหรัฐจะขึ้นภาษี หลายโครงการเป็นโครงการเหมือนปีก่อนๆ เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่ควรเป็นหน่วยงานหลักในการปรับปรุงประสิทธิภาพ SMEs แต่จากการซักถามพบว่า กรมได้ไปคว้าโครงการเดิมที่ตั้งของบไว้อยู่แล้ว แล้วมาตอบ กมธ. ว่า นี่แหละตอบโจทย์สงครามการค้าแล้ว

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ควรพิจารณารายอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นส่งออกไปสหรัฐฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศคู่แข่งมีภาษีต่ำกว่า รวมถึงเปลี่ยนตัวชี้วัดจาก มาเป็นกำไรของกิจการหลังเข้าร่วมโครงการ 1 ปี / 3 ปี ยอดคำสั่งซื้อหลังเข้าร่วมโครงการ 1 ปี / 3 ปี

งบอีกประเภทที่รัฐบาลควรดูคือ งบสตาร์ทอัพและ Transform SMEs โดยสิทธิพลยกตัวอย่างโครงการ Thailand Digital Valley โดยของบปี 2568 ไปแล้ว 808 ล้านบาท โดยบอกว่าจะขอเป็นครั้งสุดท้าย แค่ปี 2569 ก็มาของบอีก 16 ล้านบาท

โครงการนี้เป็นโครงการพัฒนาสตาร์ทอัพ ที่โครงการเดียวใช้เงินไปกับการสร้างตึก เกือบ 4,000 ล้าน คิดเป็นกว่า 30% ของงบสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

ประเด็นสำคัญคือโครงการนี้ล่าช้าแล้ว ที่ควรต้องเสร็จตุลาคม 2568 แต่จากรายงานสรุปการดำเนินงานพบว่า 31 มีนาคม 2568 การก่อสร้างยังได้แค่ครึ่งเดียว สุดท้าย โครงการ 4 พันล้านนี้ SMEs ได้ประโยชน์ตรงไหน