28 พ.ค. 68 กัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ได้ลุกขึ้นอภิปราย ‘ไม่เห็นชอบ’ ต่อ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยให้เหตุผล 4 ประการ ดังนี้

ประการที่หนึ่ง รัฐบาลชุดนี้ ‘ขาดความเป็นมืออาชีพ’ ในการจัดทำงบประมาณ 2569

ประการที่สอง ขาดความเป็นผู้นำของส่วนราชการ

ประการที่สาม รัฐบาลไม่ทราบความจำเป็นของประเทศว่ากำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่

ประการที่สี่ รัฐบาลมองไม่เห็นถึงความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชน ทั้งในและต่างประเทศ

กัณวีร์ ยกตัวอย่างปัญหาที่ควรจะเป็นตัวตั้งในการจัดทำงบประมาณ คือหนึ่ง ปัญหาเจาะเหมืองมลพิษชายแดน นั่นคือเหมืองแร่ทองคำและแร่แรร์เอิร์ธในประเทศเมียนมา ห่างจากชายแดนไทย 25 กม. ซึ่งขณะนี้ประชาชนในเชียงใหม่และเชียงรายได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา แต่เหตุใด ทำไมแผนงานและงบประมาณต่างๆ ถึงไม่มีเรื่องนี้

โดย กัณวีร์ ได้กล่าวถึงงบประมาณภายใต้ยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แผนย่อยของแผนแม่บท การจัดการมลพิษที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสารเคมี โดยในปี 2569 มีการตั้งบประมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2568 ราว 2 ร้อยล้านบาท

“แต่เมื่อไปดูในรายละเอียด งบปี 69 ที่เพิ่มขึ้น 2 ร้อยกว่าล้านบาท กลับไปลงที่กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์การจัดการน้ำเสียรัฐวิสาหกิจ คำถามคือกระทรวงอุตสาหกรรมเอาเงินนี้ไปทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับมลพิษแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง?”

กัณวีร์ ชี้ว่า รัฐบาลไม่ได้มองปัญหาเป็นตัวตั้งในการจัดทำงบประมาณแต่อย่างใด

ต่อมาคือเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทวาย พะโค และเมียนมา โดยกัณวีร์ กล่าวว่า เมียนมาได้ร่วมมือกับรัสเซียสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งอยู่ห่างจากไทยแค่ 132 กม. ซึ่งการไม่มีความรับผิดชอบในการทำอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อนบ้าน กระทบกับไทยโดยตรง ทั้งนี้ กัณวีร์ ได้ชี้ให้เห็นงบประมาณความมั่นคง 4.1 แสนล้านบาท ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ที่ตั้งงบไว้ 2.3 หมื่นล้านบาท พบว่า ปี 2569 งบเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 56 ล้านบาท ซึ่งไปอยู่ในสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ

...

แต่เมื่อไปดูเนื้องานของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กลับพบว่า เป็นเพียงการป้องกันภายในประเทศเท่านั้น แต่หากมีผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้าน คำถามคือจะทำอย่างไร? “งบประมาณตรงไหนหรอที่จะบอกได้ว่า รัฐบาลจะได้เจรจาเพื่อไม่ให้ผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้านเกิดขึ้น… ไม่มี”

ต่อมาคือเรื่องโครงการ EEC และ ฟูนันเตโช ซึ่งเป็นกรณีคือการตัดคลองฟูนันเตโชในประเทศกัมพูชา 180 กิโลเมตร เข้ากรุงพนมเปญ โดยนัยยะของโครงการนี้คือ โครงการนี้อาจพัฒนาสู่นิคมอุตสาหกรรมซึ่งอาจจะกระทบกับ EEC ในประเทศไทย

โดย กัณวีร์ ชี้ว่า ปี 2568 ไทยลงทุน EEC ภายใต้ยุทธศาสตร์สร้างความสามารถในการแข่งขัน 3.9 แสนล้านบาท ภายใต้แผนงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยงบปี 2569 คือ 8.3 พันล้านบาท ซึ่งหากรวมปี 2568 ด้วย งบนี้จะสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท

“ท่านรู้ไหมว่าถ้ากัมพูชาสามารถทำท่าเรือน้ำลึกนี้สำเร็จ มันจะเป็นตาข่ายรองรับการเดินเรือเข้ามา ซึ่งกระทบ EEC คำถามคือ ท่านได้สร้างแผนงานอะไรบ้างหรือยังในการประสานงานกับกัมพูชาว่าท่านไม่ควรมีโครงการเข้ามารองรับเป็นตาข่ายด้านเศรษฐกิจที่จะทำให้ EEC ซึ่งไทยลงทุนเป็นหมื่นล้านมาหลายปีแล้วได้รับผลกระทบ …ไม่มีเลย”

กัณวีร์ มองว่า รัฐบาลเพียงใส่เงินลงทุนไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้มองเห็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายในการลงทุน

ต่อมาคือเรื่องสถานการณ์เมียนมาต่อประเทศไทย กัณวีร์ ระบุว่า ไทยทราบนานแล้วว่าผลกระทบเกิดขึ้นแน่จากสถานการณ์ความไม่มั่นคงในเมียนมา ทว่าไทยกลับไม่มีงบประมาณ แผนงานหรือโครงการใดๆ ในเรื่องนี้

เรื่องสุดท้ายคือ สถานการณ์ชายแดนใต้ ที่วันนี้ยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นมากมาย ซึ่ง 23 ปีที่ผ่านมา รัฐไทยทุ่มงบประมาณมหาศาลลงไปเกือบ 6 แสนล้านบาท ส่วนในปี 2568 รัฐบาลตั้งงบบูรณาการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ 5.8 พันล้านบาท ส่วนปี 2569 งบบูรณาการฯ ลดลงเหลือ 1.4 พันล้านบาท แต่ปัญหาคือ รัฐบาลกลับเอาเงินที่เหลือไปใส่ไว้ในงบฟังก์ชั่น นั่นคือกระทรวง ทบวง กรม ด้านความมั่นคงเยอะแยะมากมาย ซึ่งนี่ไม่ใช่การแก้ไข เป็นเพียงการพลิกแพลงงบประมาณราวกับว่าสถานการณ์ปัญหาดีขึ้น คำถามคือ สันติภาพอยู่ตรงไหน?