28 พ.ค. 68 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย พรรคประชาชน เริ่มต้นอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 วาระ 1 ว่าด้วยเรื่องภาพรวมงบปี 2569 โดยเขากล่าวว่า นี่เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้วที่พรรคเพื่อไทยตั้งงบขาดดุลจนสูงเกือบชนเพดาน โดยกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ขณะที่มีการประมาณการรายได้ของรัฐไว้เพียง 2.92 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.5% ต่อจีดีพี ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2568 รัฐบาลเพื่อไทยเคยทำสถิติไว้ว่า ท่านกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีที่สูงที่สุดในรอบ 36 ปี นับแต่ปี 2532
ณัฐพงษ์มองว่า สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องการกู้ แต่คือเรื่องที่รัฐบาลจะใช้เงินเกินตัวโดยไม่มีแผนการลงทุนและการหารายได้รองรับ ไม่มียุทธศาสตร์ใดๆ เลย ไม่มีการเชื่อมโยงกับการสร้างศักยภาพประเทศไทยในอนาคต กู้ซ้ำๆ ลงโครงการเดิมๆ
และแม้ว่าปีนี้ รัฐบาลจะเบ่งงบประมาณออกมาสูงจนเต็มเพดาน ถึง 3.78 ล้านล้านบาท แต่งบที่เอาไปใช้ได้จริง มีเพียง 1.06 ล้านล้านบาท เหตุเพราะรายจ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 หมื่นกว่าล้าน งบชำระหนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.1 หมื่นล้าน รวมเงินอุดหนุนท้องถิ่นและเงินชดใช้เงินคงคลังต่างๆ นานา สุดท้ายเหลือแค่ 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งก้อน นั่นคือราวๆ 1.06 ล้านล้านบาทเท่านั้น
ณัฐพงษ์ระบุว่า ด้วยสถานการณ์ภาพรวมของไทยตอนนี้ ที่เราเหลือพื้นที่การคลังให้กู้ได้อีกไม่มาก และเหลือพื้นที่งบประมาณให้กับโครงการใหม่ๆ น้อย ประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่รู้จักการใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นแหล่งรวมของผู้แสวงหาอำนาจ ที่รวมตัวกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป
ณัฐพงษ์ยังกล่าวถึงการใช้จ่ายงบกลางปี 2568 ของรัฐบาล ที่มติ ครม. ออกมาบอกว่า กำลังเปลี่ยนงบดิจิทัลวอลเล็ตไปใช้กับการลงทุนระยะสั้น 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งหากลงไปดูในวิธีการจัดการ จะพบว่า รัฐบาลไม่มีภาพอะไรในหัวเลย เพราะมันคือการโยนเงิน 1.57 ล้านบาทไปที่ อปท. 7,850 แห่งทั่วประเทศ (โดยให้ อปท. ส่งคำของบประมาณมาให้ทันภายใน 3 วัน และขยายกรอบเวลาในเวลาต่อมา) วิธีการแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีแผนแม่บทและไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีเป้าหมายระดับประเทศ
...
ณัฐพงษ์ย้ำว่า นี่ไม่ใช่การกระจายอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ แต่เป็นการกระจายภาระให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล และได้ตั้งคำถามว่า นี่คือการกระจายผลประโยชน์ไปให้เฉพาะกลุ่มเครือข่ายที่ใกล้ชิดรัฐบาลที่รู้ข่าวล่วงหน้า ถึงสามารถทำโครงการและคำขอเข้ามาได้ทันภายในกรอบเวลาอันสั้นนี้ใช่หรือไม่
3 วิกฤติอันเปราะบาง สวนทางงบฯ 69
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในปีที่โลกปั่นป่วน ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนแรง การค้าโลกที่รุนแรง เศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง แต่เรากลับใช้งบประมาณสูตรเดิมๆ ที่ล้มเหลวมาอย่างต่อเนื่องหลายปี งบปี 2569 จะเป็นคำตอบว่าไทยจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่
สำหรับอุณหภูมิโลกที่ร้อนแรง ความแปรปรวนของสภาพอากาศในสถานการณ์ที่เลวร้ายและย่ำแย่ที่สุดนั้น ไทยมีโอกาสสูญเสียจีดีพีได้สูงถึง 45% โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและการเกษตร อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.2 องศา สามารถส่งผลต่อภาคเกษตร ที่ทำให้ผลผลิตอาจเสียหายถึง 8.4 หมื่นล้านต่อปี
สำหรับวงการค้ารุนแรง กำแพงภาษีทรัมป์กระทบส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำเติมปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูกและการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา จีดีพีภาคการผลิตและการบริโภคของไทยจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันตลอด แสดงว่านโยบายการแจกเงินกระตุ้นการบริโภค สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีตได้ แต่หลังปี 2565 เป็นต้นมา จีดีพีการผลิตและการบริโภคโตสวนทางกัน ในขณะที่การบริโภคสูงขึ้น แต่จีดีพีภาคการผลิตกลับต่ำลง แปลว่าเงินที่ท่านแจกไป มันไหลออกทางอื่น ตกไม่ถึงมือผู้ผลิตในประเทศ หนำซ้ำพวกเขายังถูกซ้ำเติมจากสินค้านำเข้าและสินค้าเถื่อนราคาถูก
นอกจากนั้น แม้แต่การส่งออกก็มีปัญหาและกำลังจะทรุดหนักจากสงครามการค้าในอนาคต ยกตัวอย่าง ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ 6,300 ราย ซึ่งจ้างงานคน 1.5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ มี SME 4,990 ราย โดย SME กลุ่มนี้เอาตัวรอดมาได้จากวิกฤตโควิด แต่วันนี้เขากำลังตายจากกำแพงภาษีทรัมป์ที่รัฐบาลช้า และทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจโลกอันเปราะบางนั้น เมื่อเดือนมีนาคม IMF คาดการณ์ไว้ว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2-3.3 ในช่วงปี 2568-2569 แต่ภายหลังการมาของทรัมป์ พบว่า เดือนเมษายน 2568 IMF ออกมาปรับลดตัวเลขต่ำลงกว่า 3
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกระทบการท่องเที่ยวของไทยในอนาคตแน่นอน ไม่ว่าจะรายได้จากนักท่องเที่ยวที่กระจายตัวลงไปยังธุรกิจต่างๆ ในประเทศ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง นี่คือตัวเลขจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ยังไม่นับรวมความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ วิกฤตรอบโลกกำลังปะทะเข้ากับโครงสร้างที่อ่อนแอของไทย โดยเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก ท่องเที่ยวและเกษตร กำลังถูกกดดันพร้อมกันทุกด้าน สัดส่วนรายได้รัฐต่อจีดีพีของไทย มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด ความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลถูกตั้งคำถาม มุมมองต่ออนาคตของไทยถูกปรับลดลงเป็นทางลบ ไทยกำลังเผชิญปัญหาด้านการคลังอย่างรุนแรงในอนาคต หากรัฐบาลยังลงทุนไม่ถูกจุด และไม่มีเป้าหมายในการใช้จ่ายอย่างชัดเจน
ณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงงบประมาณแผ่นดินปีละ 3.78 ล้านล้านบาท ที่พิจารณาในสภาอยู่นั้น เป็นเพียงงบก้อนเดียว แต่เรายังมีงบก้อนที่ 2 นั่นคือเงินที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยในปี 2567 รัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายรวมกัน 4 ล้านล้านบาท ซึ่งหากเราตัดส่วนที่ซ้ำกับส่วนที่เป็นเงินอุดหนุนจากรัฐส่วนกลางไปให้รัฐวิสาหกิจ 1.4 แสนล้าน เราจะเหลือก้อนที่ 2 อีก 3.86 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ส่วนก้อนที่สาม คืองบประมาณรายจ่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยตัวเลขรวมปี 2567 คือ 7.5 แสนล้านบาท ซึ่งหากเราตัดส่วนเงินอุดหนุนที่ซ้ำกับก้อนแรกออกไป และรวมเงินสะสมที่ท้องถิ่นมีอยู่ในกระเป๋า 3 แสนกว่าล้าน
...
ส่วนก้อนที่ 4 คือเอกชนและธุรกิจเพื่อสังคมที่พร้อมจะลงทุนกับรัฐบาลเพื่อพัฒนาเมือง หากเราลองรวมตัวเลข 4 ก้อนนี้ จะพบว่า สิ่งที่รัฐบาลมีทรัพยากรในมือ เท่ากับ 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี
ปัญหาที่ผ่านมาคือไม่มีใครไปเชื่อมโยงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าหากัน รัฐวิสาหกิจต่างคนต่างใช้ ต่างคิดและต่างลงทุน ท้องถิ่นก็ใช้งบไปตามหน้าที่ ไม่ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับประเทศ ส่วนบริษัทพัฒนาเมืองที่มีเงินและความพร้อมอยากพัฒนาบ้านเกิดก็ทำไม่ได้ เพราะระเบียบของรัฐกดทับเอาไว้
ต่อมา ณัฐพงษ์ได้อภิปรายถึงประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมียุทธศาสตร์ โดยระบุว่า เงินหนึ่งบาทจากรัฐ สามารถกลายเป็นสิบบาทในระบบเศรษฐกิจได้ หากใช้ในรูปแบบที่ถูกต้อง โดยเขายกตัวอย่างผ่านการใช้จ่ายในงบปี 2569 บางส่วน ได้แก่
- งบการจัดการน้ำ รัฐบาลทุ่มไปกับการสร้างตลิ่ง เขื่อน คลอง มากกว่าการเพิ่มพื้นที่รับน้ำและระบบเตือนภัย
- งบเกษตร รัฐบาลเน้นเยียวยา ไม่มีการลงทุนเพื่อลดต้นทุน หรือพัฒนาเกษตรสมัยใหม่
- งบ Soft power กลายเป็นงบอีเว้นต์และพีอาร์ซ้ำซ้อน ไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
- งบสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ด้านนี้มีแค่ 4% ต่ำสุดในทุกยุทธศาสตร์ เน้น สร้าง-ซ่อม มากกว่าแก้เชิงระบบ
- งบดูแลคนพิการตกหล่น กระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน ขาดการเข้าถึงอุปกรณ์พื้นฐาน
...
ณัฐพงษ์ระบุว่า เราต้องเปลี่ยนการตั้งงบแบบเดิม ไปสู่การตั้งงบแบบใหม่ที่ให้ผลทวีคูณ เช่น
- งบประกันสินเชื่อให้ SME จะสามารถสร้างตัวคูณในระบบเศรษฐกิจได้ 7 เท่า
- งบช่วยเกษตรกร โดยเปลี่ยนการแจก เป็นการลงทุนอย่างมีเป้าหมาย
- Matching fund กับ อปท. จะจูงใจให้นำเงินสะสมท้องถิ่น 3 แสนล้านบาทมาใช้
- Green Procurement ภาครัฐช่วยสร้างตลาดเทคโนโลยีสีเขียว
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นใน 3 เหล่าทัพ สวนทางกับนโยบายปฏิรูปกองทัพอย่างสิ้นเชิง ผมขอเตือนท่านนายกฯ วันนี้ไม่ใช่การจัดทำงบประมาณที่ผิดพลาดเท่านั้น แต่เป็นกระจกสะท้อนไปยังตัวท่านที่ไม่มีเป้าหมายให้ประเทศ ซึ่งท่านได้ละเลยการทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากทุกท่านยังจำได้ ในวันแถลงนโยบาย นายกฯ ประกาศชัดว่า จะปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ แต่วันนี้ แค่การจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ท่านตั้งไว้ ท่านยังทำไม่ได้ เราจึงยังเห็นร่างงบประมาณที่หน้าตาเหมือนเดิม โครงการเหมือนเดิม ล้มเหลวเหมือนเดิม ทั้งที่ประเทศไทยในปี 2569 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป