เหตุปะทะ "ช่องบก" จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา อดีตนายทหารมอง ยุทธศาสตร์ซ่อนปม กัมพูชาเปิดฉากไทย ที่ผ่านมาจุดนี้มีความรุนแรงหลายครั้ง วิเคราะห์พฤติกรรมยั่วยุ "เผาศาลา- ร้องเพลงชาติ" ไทยควรตอบโต้รุนแรงกว่าเจรจา

วันนี้ (28 พ.ค. 68) หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รับการรายงานมีทหารกัมพูชา เข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
โดยตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่

มีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อพิพาทระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี ที่ผ่านมาทางกัมพูชา มีการเปิดฉากเริ่มมาตลอด พลโท พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า ถ้ามองด้านยุทธศาสตร์ ช่องบก ถือเป็นเส้นทางสำคัญ ที่สมัยขอมตอนบน ใช้เส้นทางนี้มาแต่โบราณ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระหว่างไทยและกัมพูชา หรือเรียกว่า เป็นประตูสู่เมืองของทั้งสองประเทศได้ ส่วนการปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชา เป็นการทดสอบของกัมพูชา

...

“ที่ผ่านมากัมพูชา พยายามทดสอบเรามาแล้วหลายรอบ ทั้งมีการข้ามมาร้องเพลงชาติ หรือเผาศาลาในฝั่งไทย ซึ่งการทดสอบของกัมพูชาก็พบว่าไทยนี้ยังอ่อนแอ ไม่มีการตอบโต้ที่เด็ดขาด หลายครั้งรัฐบาลก็จะอ้างเจรจา โดยที่ผ่านมาไทยยอมมาตลอด แต่ถ้าไทยมีใครเข้ามาทำไม่ดีเราไล่ไว้ก่อนครั้งหลังเขาก็ไม่กล้าทำอีก แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น”

การปะทะกันที่ช่องบกครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณการปะทะที่ทวีความรุนแรง ที่ผ่านมาก็มีพฤติกรรมไม่ดีมาเรื่อยๆ เช่น ไปตัดลวดหนามริมชายแดน นี่เป็นการทดสอบของฝั่งกัมพูชา ว่ายังสนใจเรื่องเขตแดนอยู่หรือไม่ แต่การตอบกลับของรัฐบาลไทยยังอ้างแค่เป็นการเจรจา สุดท้ายกัมพูชาก็ตอบโต้แรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากเดิม ถ้ามีการรุกล้ำ จะมีการยิงปืนใหญ่เพื่อเตือน ให้หยุดพฤติกรรมที่กำลังล้ำเขตแดน

หากประเมินแนวโน้มความตึงเครียดอาจเกิดสงครามระหว่างยุโรปกับจีนได้ในไม่ช้า แล้วกัมพูชา อาจเป็นแนวหน้าของจีน ในการทำให้เกิดความขัดแย้งได้

ไทยเองต้องมีการแสดงให้เห็นว่า แข็งแรงพอที่จะทำให้เห็นว่า ไม่ค่อนข้อลงให้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีปัญหาไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าไทยจัดการบริเวณช่องบกได้ พื้นที่อื่นก็ไม่มีปัญหาตามมาอีก ขณะเดียวกันไทยควรมีมาตรการที่เด็ดขาด ในการป้องกันผู้ที่รุกล้ำเขตแดน เช่น การข้ามมาร้องเพลงชาติฝั่งไทย ควรมีมาตรการที่ชัดเจนกว่านี้ แม้กลุ่มคนที่มาจะเป็นภรรยาของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นถึงนัยยะบางอย่าง ที่ถ้าไทยไม่เด็ดขาดก็จะมีปัญหาในพื้นที่ช่องบกไปเรื่อยๆ

ย้อนเส้นทางความขัดแย้งช่องบก

ความขัดแย้งบริเวณ "ช่องบก" จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา เป็นปัญหาที่เกิดซ้ำซากมาอย่างต่อเนื่อง
มีรายงานเหตุปะทะเกิดขึ้นหลายครั้งในบริเวณช่องบก โดยล่าสุด 28 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากที่ทหารไทยตรวจพบว่าทหารกัมพูชามีการจัดเตรียมพื้นที่คล้ายกับการตั้งจุดตรึงกำลังในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ์ เหตุการณ์นี้กินเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงยุติการยิงและตรึงกำลังในจุดปะทะ โดยไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตของฝ่ายไทย

ก่อนหน้านั้นมีการเผาศาลา หรือ ศาลาตรีมุข บริเวณสามเหลี่ยมมรกต ใกล้ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2568 ว่าเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชาทำลายและเผา "ศาลาตรีมุข" หรือ "ศาลารวมใจ 3 ประเทศ" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทย-กัมพูชา-ลาว กองทัพบกได้ชี้แจงว่าสาเหตุเกิดจากไฟลามจากบ้านเรือนฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อฝ่ายไทย

การร้องเพลงชาติกัมพูชา บนปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ โดยทหารกัมพูชายกพลขึ้นไปร้องเพลงชาติกัมพูชาในพื้นที่พิพาท เช่นที่ปราสาทตาเมือนธม และเคยมีกรณีที่ทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติในเขตไทยบริเวณช่องบก ทำให้แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องออกโรงเตือน
แม้การเปิดฉากยั่วยุของทางกัมพูชา อาจจะแฝงนัยยะบางอย่าง แต่หน่วยงานของไทยก็ต้องมีการตอบโต้ที่ชัดเจนและแข็งกร้าวพอด้วย

...