การใช้กำลังสลายการชุมนุม โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553 คือการปราบปรามการชุมนุมที่รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย มีการระดมทหารเข้ากรุงเทพมากถึง 50,000 นาย และใช้กระสุนจริงกว่า 100,000 นัด และมีผู้เสียชีวิตถึง 94 คน ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ 10 คนพลเรือน 76 คนอาสากู้ชีพและพยาบาล 6 คนผู้สื่อข่าว 2 คนผู้บาดเจ็บไม่น้อยกว่า 1,400 คนท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนั้น รัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้ ‘ข้อมูลข่าวสาร’ เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งถูกนำมาใช้ต่อเนื่องทั้งในช่วงสลายการชุมนุม 53 การอภิปรายในสภาฯ ในสื่อมวลชน หลังจากการสลายการชุมนุมเสร็จสิ้นไปแล้วด้วยแม้แต่ในช่วงการแสวงหาข้อเท็จจริงภายหลังเหตุการณ์ ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารยังดำเนินต่อมาหลายรูปแบบ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทางทหารที่ไร้มนุษยธรรม ในเหตุการณ์เมษา - พฤษภา 53 ด้วยการใช้อำนาจนิยมบนฐานของการครอบงำสื่อเพื่อปกปิดและบิดเบือนข้อมูลไทยรัฐ ชวนย้อนดูรายงานความจริงเพื่อความยุติธรรม: เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53 โดย จักรกริช สังขมณี และ สายชล ปัญญชิต ผู้เขียนรายงานว่าด้วย ‘ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลในช่วงของความขัดแย้ง’ ได้นำเสนอกลวิธีโฆษณาชวนเชื่อที่สำคัญของ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และเครือข่าย ผ่านวาทกรรมหลัก 3 ประการที่ถูกผลิตซ้ำซาก อาทิ สมุนทักษิณ ผู้ถูกว่าจ้างมาจากชนบท, กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นผู้น่าสงสารไร้การศึกษา, กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการก่อการร้าย, แดงล้มเจ้าโฆษณาชวนเชื่อและการสร้างวาทกรรมของ ศอฉ.โดยพื้นฐานแล้ว ปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อมีรูปแบบที่ทำได้ไม่ยากนัก ด้วยการนำเสนอข้อมูลที่เลือกสรรมาอย่างดีแล้วเพื่อที่จะสนับสนุนข้อสมมุติฐานบางประการ หรือไม่ก็ใช้การส่งสารจำนวนมากเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับผู้รับสาร มากกว่าจะส่งเสริมให้ผู้รับสารพิจารณาข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุเป็นผลรูปแบบของปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อ มีตั้งแต่การออกแถลงการณ์ของรัฐบาล ทั้งแบบฉุกเฉินปัจจุบันทันด่วน และต่อเนื่องซ้ำไปมา, การรายงานข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ การใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะรับใช้ผู้ทำการโฆษณาชวนเชื่อมาพูดให้ข้อมูล การโฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โปรยแผ่นปลิว แต่งเพลงปลุกใจ สอดแทรกผ่านงานรับรางวัลของดารา ฯลฯในรายงานชิ้นนี้ ระบุว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น ได้ใช้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นเครื่องมือในการสร้างและบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างวาทกรรมเพื่อตอบโต้การชุมนุมของคนเสื้อแดง และเพื่อสนับสนุนการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของพลเรือนที่สะพานผ่านฟ้าและสี่แยกราชประสงค์ โดยนำเสนอต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆ กล่าวคือ รัฐบาลขณะนั้นเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบหนึ่งโดยงานของ ศอฉ. ประสบความสำเร็จอย่างน้อย 2 ประการคือสร้างความนิยมชมชอบและความน่าเชื่อถือให้กับรัฐบาลในฐานะที่กำลังต่อสู้กับ ‘กลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีต่อบ้านเมือง’ โดยมี ‘ไก่อู’ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำ ศอฉ. และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับหน้าที่สำคัญนี้ ศอฉ. สามารถรวบรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง จนสามารถเป็นหน่วยผลิตและถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารเพื่อ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ (Propaganda) ซึ่งกล่าวได้ว่า ไม่ได้เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ส่งผลให้สังคมไทยขณะนั้นเกิดความสับสนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเกิดอคติต่อผู้ชุมนุมในที่สุดบทความชื่อ บทเรียนการปฏิบัติการข่าวสาร : กรณี ปปส. ในเมือง (มีนาคม-พฤษภาคม 2553 ในวารสารเสนาธิปัตย์ ปีที่ 60 ฉบับที่ 1 โดย พ.อ. บุญรอด ศรีสมบัติ นายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก ซึ่งเขียนขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังเกิดเหตุสลายการชุมนุม โดยระบุว่า…การดำเนินการที่มุ่งโจมตีต่อระบบควบคุมบังคับบัญชาและสร้างอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจ ข่าวสาร และระบบสารสนเทศของฝ่ายตรงข้าม โดยที่จะดำเนินการป้องกันการที่ฝ่ายตรงข้ามจะกระทำไอโอ (ปฏิบัติการข่าวสาร) ต่อฝ่ายเราเช่นกัน ซึ่งในระหว่างการชุมนุมทางการเมือง ศอฉ. ได้ปฏิบัติการไอโอเต็มรูปแบบ และที่โดดเด่นที่สุดคือโฆษก ศอฉ. พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด (เสธ. ไก่อู) ที่ได้รับการชื่นชมในความรู้และความสามารถที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถทำหน้าที่เป็นโฆษกได้ตลอดรอดฝั่ง…งานเขียนชิ้นนี้ ชี้ให้เห็นว่า ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารครั้งนี้ มีองค์ประกอบหลัก 5 ข้อคือ การรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติการ, การลวงทหาร, ปฏิบัติการจิตวิทยา, สงครามอิเล็กทรอนิกส์, ปฏิบัติการเครือข่ายคอมพิวเตอร์นอกจากนี้ ยังมีปฏิบัติการสนับสนุนอีกมากมาย อาทิ ดำเนินการเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ โดยใช้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐส่งสารสู่กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป เช่น กระทรวงต่างประเทศ มุ่งตอบโต้และปิดกั้นช่องทางการสื่อสารของทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศ ใช้นักวิชาการ เช่น รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ทำหน้าที่แถลงข่าวให้กลุ่มนักข่าวและผู้รับสารต่างประเทศ และใช้สถานีโทรทัศน์ที่ควบคุมโดยรัฐบาล ออกอากาศเพื่อนำเสนอข้อมูลจากฝ่ายรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้ รัฐบาลยังใช้กลวิธีตอกย้ำถึงผลเสียของระบบเศรษฐกิจและสังคม ลดทอนสารัตถะของข้อเรียกร้องด้วยวลี ‘คนพวกนี้ถูกจ้างมา’‘สมุนทักษิณ ผู้ถูกว่าจ้างมาจากชนบท’ในรายงานชิ้นนี้ ระบุว่า ภารกิจด้านการโฆษณาชวนเชื่อของ ศอฉ. ผ่านกลวิธีสร้างให้กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นเพียง ‘นักรับจ้างชุมนุม’ ดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกวัวถนนราชดำเนิน เมื่อ 10 เมษายนโดย ศอฉ. ได้ออกคำสั่งที่ 49/2553 เรื่อง ‘ห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน’ (ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553)ซึ่งในบัญชีรายชื่อแนบท้ายคำสั่งดังกล่าวได้รวบรวมรายชื่อของกลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาว่าใกล้ชิดทักษิณ และสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการชุมนุม โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ได้แถลงถึงความจำเป็นของการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินว่า…ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินจะประกาศรายชื่อบุคคลและนิติบุคคล ที่ถูกระงับการทำธุรกรรมเพิ่มเติมอีก... ทั้งนี้ คำสั่งระงับการทำธุรกรรมจะมีผลจนกว่าจะมีประกาศยกเลิก จึงขอให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำสั่ง เพื่อคืนความสงบให้กับบ้านเมือง โดย ศอฉ. จะเปิดสถานที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อใช้เป็นที่รายงานการทำธุรกรรม...การสร้างภาพต่อสาธารณะว่า มีผู้ว่าจ้างชุมนุม เป็นหนึ่งในกลวิธีของ ศอฉ. ในการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งวิธีนี้ ถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่องภายหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุม ตัวอย่างเช่นวันที่ 1 มิถุนายน 2553 การประชุมสภาฯ เกี่ยวกับกรณีการสลายชุมนุมวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และ ผอ.ศอฉ. ขณะนั้นกล่าวในที่ประชุมว่า“ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่จะสร้างฉากขึ้นได้ มีแต่พวกใจดำอำมหิตโฉดช้าเหล่านั้นเท่านั้นครับที่ทำได้ เพราะตัดสินใจฆ่าได้แม้กระทั่งคนพวกเดียวกันฝ่ายเดียวกันที่ตัวเองได้หลอกลวงให้เข้ามาร่วมในขบวนการ...มีการใช้ทุนจำนวนมาก ทั้งจ้างทั้งวานขุดเอากากมนุษย์ที่เป็นผู้ต้องหาคดีต่างๆ เอามาฝึกเป็นทหารนิรนามรับจ้าง เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ในกลุ่มคนที่มาชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์”นอกจากนี้ สุเทพ ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการใช้เงินว่าจ้างกลุ่มคนที่เข้ามาชุมนุมว่า“ผมต้องชี้แจงถึงความจำเป็นที่ต้องสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกรรมการเงินของบุคคลบางคนว่า อาจสนับสนุนการก่อความรุนแรงหรือนำไปก่อการร้ายในบ้านเมืองหรือไม่ ส่วนความคืบหน้าในด้านนี้คณะทำงานใน ศอฉ. ยังไม่ส่งรายงานอย่างเป็นทางการมาให้ แต่ขอยืนยันว่ามีการก่อการร้ายจริง”ข้อสังเกตของรายงานชิ้นนี้คือ ในภายหลัง ศอฉ. ได้ออกคำสั่งให้บุคคลที่ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินได้ตามปกติ และมิได้มีการดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้สนับสนุนการเงินให้แก่ผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด ยกเว้นอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกแจ้งข้อหาผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากคดีอาญากรณีที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกอย่างไรก็ตาม หลังการล้อมปราบ 19 พฤษภาคม 2553 ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ลูกจ้างหรือลูกสมุนรับเงินทักษิณทั้งหลาย ต่างก็ยังดำเนินกิจกรรมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ‘ทุนหรือสมุนรับจ้าง’ ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมหาศาล โดยเรื่องนี้ ศอฉ.และผู้ให้การสนับสนุนปฏิบัติการของ ศอฉ. ก็ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรกับการผลิตวาทกรรมของตน‘กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นผู้น่าสงสารไร้การศึกษา’การสร้างสโลแกนเพื่อฉายภาพความแตกต่างทางชนชั้น เป็นหนึ่งในกลวิธีสื่อสารของผู้ชุมนุมเพื่อให้สาธารณชนเห็นถึงความสำคัญในการเรียกร้องสิทธิ หรือความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงความชอบธรรมในการปกครองภายใต้นิติรัฐหลักการประชาธิปไตยขณะที่ ศอฉ. ได้ใช้ความเป็น ‘ชั้นล่าง’ หรือ ‘ไพร่’ มาตีตราให้สังคมเห็นถึงความอ่อนด้อยทางสติปัญญาของผู้ชุมนุม เช่นในการแถลงข่าวของ ศอฉ. โดย พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด มีการนำเสนอภาพการปล้นร้านสะดวกซื้อและกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้าย โดยเขากล่าวว่า“ที่ร้านสะดวกซื้อมีตู้เอทีเอ็มอยู่ เดี๋ยวเข้าไปดูใกล้ๆ ทุบทำลายตู้เอทีเอ็มเอาเงินไปใช้ ขโมยเงินไปครับ นี่คือการปล้นสะดมภายในร้านสะดวกซื้อ เอาไปหมดทุกอย่าง อาหารการกิน อย่างเดียวคือหนังสือไม่เอาไปเพราะว่ารับข้อมูลเฉพาะจากแกนนำบนเวทีเท่านั้น นี่คือเรื่องของการปล้นสะดมทำลายทรัพย์สินทุกอย่างที่มีอยู่ ทั้งหมดนี้คือการก่อการร้ายอย่างชัดเจนที่สุด”นอกจากนี้ ศอฉ.ยังหยิบยกคำว่า ‘ไร้การศึกษา’ มาใช้หลายครั้ง โดยนำมาพูดแทรกซ้ำๆ ในแถลงการณ์เพื่อให้ติดหูผู้คนโดยไม่รู้ตัว จนคนฟังค่อยๆ เชื่อว่ามันคือความจริง โดยคำที่มักใช้บ่อยๆ เช่น ผู้กระทำผิดกฎหมาย, เหิมเกริม, ป่วนเมือง, ทำตามอำเภอใจ, ผู้ก่อการร้าย, ผู้ไม่หวังดี, ผู้ก่อความไม่สงบ, ทำร้ายผู้อื่น, ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ ให้เยาวชนคำเหล่านี้เต็มไปด้วยอคติ และถูกใช้เพื่อเชื่อมโยงกับการโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นถึงความไร้การศึกษาของกลุ่มผู้ชุมนุม ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ ศอฉ. ได้อ่านแถลงการณ์โดยใช้ถ้อยคำที่จงใจให้สังคมเห็นถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนประหนึ่งว่าผู้ชุมนุมเป็นคนที่ปราศจากมนุษยธรรม ดังนี้“การประชุมของ ศอฉ. มีความเป็นห่วงเรื่องความพยายามสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อการร้าย ทั้งเรื่องของการลอบทำร้าย การทำลายทรัพย์สินของทางราชการและพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทั้งในประเทศและพยายามที่จะบิดเบือนข้อมูลข่าวสารไปยังต่างประเทศ…นอกจากนั้นยังมีความพยายามที่จะปลูกฝังค่านิยมที่ผิดในเรื่องของความรุนแรงไปยังเยาวชน...“กลุ่มก่อการร้ายได้ใช้เด็กสตรี และคนชราเป็นโล่กำบัง โดยกลุ่มก่อการร้ายอยู่ต่ำกว่าเด็ก นอกเหนือจากการใช้เด็กเป็นโล่กำบังแล้วยังพยายามปลูกฝังความรุนแรงให้กับเด็กเยาวชน ซึ่งต้องโตไปเป็นอนาคตของชาติ โดยทำบั้งไฟจุดใส่ทหาร แล้วใช้ให้เด็กเป็นคนจุด…”นอกจากนี้ ศอฉ. ยังตัดตอนการปราศรัยบางส่วนของแกนนำและผู้ชุมนุม เลือกเฉพาะที่สังคมเข้าใจไปว่า ผู้ชุมนุมกำลังหลงผิด ถูกชักจูงจากแกนนำที่พยายามทำลายระเบียบของสังคมด้วยการยืมมือกลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษา ไม่เข้าใจวิถีด้านเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ'กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการก่อการร้าย’ย้อนไปยังปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ศอฉ. อ้างว่าได้ใช้กำลังทหารที่ปราศจากกระสุนจริงเพื่อดำเนินการกดดันขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม แต่ผู้ก่อการร้ายในร่างของชายชุดดำฉวยโอกาสเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐจนบาดเจ็บและเสียชีวิตสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า“ผมและเพื่อนร่วมงานที่ ศอฉ. ไม่คิดมาก่อนว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีคนใช้อาวุธหนักที่ใช้ในสงครามมายิงใส่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ โดยไม่คำนึงว่าจะมีลูกหลงไปถูกพลเมืองผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยคาดคิดว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมจะมีเอ็ม 79 เอ็ม 16 อาก้า ระเบิดแบบขว้าง ซึ่งเป็นอาวุธที่มีอยู่ในสงคราม เมื่อเราเริ่มปฏิบัติการ กำลังของเราส่วนหนึ่งหยุดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เลยเวลา 18.00 น. ก็หยุดกับที่เตรียมถอนกำลังกลับ ในช่วงเวลานั้นละครับ มีการยิงเจ้าหน้าที่อย่างหนักหน่วง เจ้าหน้าที่สูญเสียมาก”ศอฉ. ได้เสนอภาพเหตุการณ์และข้อมูลที่อ้างว่าได้รับการประสานงานและร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปะทะกันของทหารกับผู้ชุมนุม โดย ศอฉ. แถลงข่าวและเปิดวิดีโอประกอบ มีใจความสำคัญว่า“นี่คือภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์จริงในเวลานั้น ไม่มีใครตัดต่อได้เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจริง ท่านได้ฟังดูแล้วจากคนเสื้อแดงเองที่ให้สัมภาษณ์ว่าคนที่ยิงไม่ใช่ทหาร มีการยิงลงมาจากข้างบนตึกใส่เสื้อสีฟ้า แล้วต่อมาก็มีผู้ชายที่คลุมผมสีขาว เขาก็บอกแล้วว่าลูกกระสุนระเบิดตกลงมากลางกลุ่มทหารได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ทหารยิง แล้วก็มีคนกระชากเขาออกไปบอกว่า “แล้วมึงจะพูดทำไม” ทุกท่านคงได้ยินนะครับ”ในการแถลงข่าวครั้งนั้น พ.อ.สรรเสริญ ยังได้เปิดคลิปขณะผู้ชุมนุมเข้าขัดขวางการนำทหารบาดเจ็บออกจากพื้นที่ และกล่าวว่า“น่าสลดใจอย่างที่สุดที่คนไทยทำกันเองอย่างนี้ แม้ในศึกสงครามคนทั่วไปเขายังเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้ลำเลียงผู้บาดเจ็บ นำผู้ที่เสียชีวิตออกจากพื้นที่ แต่คนเราเองแท้ๆ ซึ่งเราก็ตะโกนบอกว่านั่นคือคนเจ็บ ที่ได้รับอันตรายจากกระสุน วัตถุระเบิดที่จะนำออกไป แต่กลุ่มคนเสื้อแดงบางกลุ่มก็พยายามที่จะลากเขาลงมาทำร้ายเพิ่มเติม ภาพมีความชัดเจนก็อยากจะย้อนถามกลับไปยังบรรดาแกนนำทั้งหลายของกลุ่มผู้ชุมนุมว่าที่บ้านของท่านเรียกสันติอหิงสาหรือไม่”นอกจากนี้ วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ศอฉ. ยังได้แถลงข่าวกล่าวว่า“การปฏิบัติการต่างๆ ของ ศอฉ. ตลอดมานั้นเป็นการปฏิบัติการเพื่อที่จะคลี่คลายสถานการณ์ โดยยึดหลักของกฎหมายและหลักสากลในการใช้กำลังมาโดยตลอด โดยการใช้ความระมัดระวังและคำนึงถึงชีวิตของประชาชน ซึ่งถ้าหากไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้อาวุธแล้วก็จะไม่มีความสูญเสียใดๆ เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธโดยการสั่งการของแกนนำที่ใช้ความรุนแรง สถานการณ์ต่างๆ จึงบานปลาย นำไปสู่ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน”หากเทียบกันแล้ว ด้าน นปช. มีช่องทางการตอบโต้ด้านข้อมูลข่าวสารน้อยมาก ทำให้ตลอดระยะเวลาการสลายชุมนุม ศอฉ. สามารถตอกย้ำภาพความเลวร้ายของกลุ่มก่อการร้ายที่พยายามใช้ความรุนแรงต่อสู้ กับการสลายการชุมนุมตามหลักสากล …แม้ว่าในความเป็นจริง ผู้ชุมนุม นักข่าว และอาสาพยาบาลจะเสียชีวิตจากการปฏิบัติการสลายการชุมนุมมากถึง 94 คน แต่ภาครัฐกลับเพิกเฉยกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และอาศัยอำนาจตามกฎหมายพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการควบคุม ปิดกั้นการตอบโต้ข้อมูลข่าวสารจากประชาชน ทั้งที่กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายสูญเสีย บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งแกนนำยังถูกจับในข้อหาก่อการร้าย 9 คน“แดงล้มเจ้า”ความไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เป็นข้อกล่าวหาที่มีความอ่อนไหวมากในสังคมไทย ดังนั้น การที่รัฐบาล ศอฉ. และเครือข่าย โจมตีผู้ชุมนุมว่า มีพฤติกรรมล่อแหลมต่อการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ส่งผลเสียอย่างชัดเจนต่อภาพลักษณ์ของผู้ชุมนุมเช่น การเผยแพร่ข้อมูลเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกล่าวหาว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงมีผู้ที่ประสงค์จะจัดตั้งรัฐไทยใหม่ การใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ควบคุมตัว ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการประกาศแผนผังเครือข่ายล้มเจ้าเพื่อแสดงให้เห็นรูปธรรมของขบวนการเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ในการแถลงข่าวของ ศอฉ.“เหตุการณ์ทั้งปวงเป็นความพยายามสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเพื่อส่งผลกดดันเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงบอกว่าพยายามยกระดับการชุมนุม ซึ่งปกติผิดกฎหมาย ไปสู่การก่อการร้าย โดยมีการซ่องสุมอาวุธจำนวนมาก พยายามผูกโยงเรื่องราวต่างๆ โดยใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จมุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่รักเคารพของคนไทยทุกคน…”ตามด้วยการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า“ความจริงแล้วการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้มีมาโดยตลอดตามสื่อต่างๆ แต่ความเชื่อมโยงต่างๆ ในขณะนี้ ทาง ศอฉ. ได้เห็นภาพที่เป็นเครือข่ายชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็ต้องดำเนินการต่อไป”(แผนผังเครือข่ายล้มเจ้าที่ ศอฉ. แจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน)‘ผังล้มเจ้า’ ฉายภาพความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มทุนที่สนับสนุนด้านการเงินสำหรับการชุมนุม กลุ่มปัญญาชนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย และนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมในประเด็นต่างๆเพื่อชี้ให้เห็นว่า กลุ่มต่างๆ ล้วนเป็น ‘เครือข่ายล้มเจ้า’ โดยมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย หรืออดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนบางคนผังล้มเจ้านี้ ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำและตอกย้ำผ่านสื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้สังคมส่วนหนึ่งคล้องตามและมีทัศนคติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่คลาดเคลื่อนไปด้วยและเมื่อพรรคประชาธิปัตย์หมดอำนาจลง ข้อเท็จจริงก็ปรากฏ เห็นได้จากปากคำของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ได้ให้ปากคำว่าในคดีที่ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก อดีตโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอฉ.)โดยปากคำของ พ.อ.สรรเสริญ ที่ให้การต่อศาลคือ“ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะที่อยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสารว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร… ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ”บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ได้ทิ้งท้ายว่า การใส่ร้ายผู้ชุมนุมว่า “ไม่ภักดี” เป็นหนึ่งในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันนี้ แม้จะไม่มี ศอฉ. แล้วก็ตาม นั่นเพราะวาทกรรมนี้ เป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจ ที่ใครก็สามารถหยิบจับมาทำลายศัตรูทางการเมืองของตนเองได้เสมอ ดังที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยและเกิดขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่า ในปัจจุบัน อ้างอิง รายงานของศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.)พ.อ. บุญรอด ศรีสมบัติ, “บทเรียนการปฏิบัติการข่าวสาร : กรณี ปปส. ในเมือง (มีนาคม - พฤษภาคม 2553),” เสนาธิปัตย์ , ปีที่ 60 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม 2554), หน้า 70.สุเทพ เทือกสุบรรณ อ้างใน “มาร์คซัดผู้ก่อการร้าย แฝงม็อบแดง,” ไทยรัฐออนไลน์, วันที่ 13 เมษายน 2553.แถลงข่าว ศอฉ. วันที่ 14 เมษายน 2553แถลงข่าว ศอฉ. วันที่ 18 พฤษภาคม 2553 เวลา 18.30 น. “ศอฉ. ฮึ่มห้ามแดงปิดถนนอีกประกาศสลายทุกที่,” คมชัดลึกออนไลน์, วันที่ 26 เมษายน 2553.โฆษก ศอฉ. ยอมรับแต่ง “ผังล้มเจ้า” เพื่อตอบโต้การใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์, ประชาไท, วันที่ 26 พฤษภาคม 2554.