บุ้ง - เนติพร เสน่ห์สังคม คือจำเลยในคดีมาตรา 112 กรณีทำโพลขบวนเสด็จ และเป็นผู้ต้องขังทางการเมืองที่ทำการประท้วงกระบวนการยุติธรรมด้วยการอดอาหารเธอเสียชีวิตหลังประท้วงได้ 110 วัน ระหว่างถูกควบคุมตัวอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างจากวิธีการต่อสู้ของเธอก็ตามแต่ สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ การเสียชีวิตของบุ้ง และนักโทษอีกหลายต่อหลายคนในเรือนจำ คือหลักฐานที่ฟ้องถึงความโหดร้ายต่อนักโทษของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ ‘การราชทัณฑ์’ ที่สังคมไทยมองข้ามเรื่องนี้มายาวนานแล้ว ในวาระครบ 1 ปีที่เธอจากไป ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ได้ขึ้นเวทีปาฐกถาในหัวข้อ ‘กระบวนการยุติธรรม ในวันที่เธอไม่อยู่’ เพื่อชวนสังคมไทยขบคิดใน 3 เรื่องใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม ที่ถึงเวลาต้องสะสางกันเสียทีหนึ่ง - กระบวนการยุติธรรมเป็นเหตุของความอยุติธรรมเสียเองสอง - การราชทัณฑ์ หรือเรือนจำ ที่จะอำนวยให้เกิดความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมก็ได้สาม - การลอยนวลพ้นผิดไทยรัฐออนไลน์ ชวนอ่านปาฐกถาฉบับเต็ม โดย ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ได้ถัดจากนี้เมื่อกระบวนการยุติธรรม เป็นผู้ก่อ 'ความอยุติธรรม' เสียเองใช่ มีคนอึดอัดใจกับวิธีการประท้วงของบุ้งในหลายกรณี เพราะเห็นว่าเธอก้าวร้าว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับความมุ่งหมายของบุ้งก็ยังอาจเห็นว่า วิธีการของบุ้งทำให้คนถอยห่าง เสียแนวร่วม แทนที่จะเข้าใจและเข้าร่วมกับสิ่งที่เธอเรียกร้องเมื่อเช้านี้ทนายเมย์ได้พูดย้ำว่า ไม่ต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่บุ้งทำทั้งหมด แต่หากเรามองให้กว้างและมองให้รอบขึ้น เราจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของเธอ หรือในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Put into perspective หมายถึงถ้าเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บุ้งทำ เราลองใส่สิ่งที่บุ้งทำไปเทียบเคียงกับสิ่งอื่นๆ จำนวนหนึ่ง เราอาจจะยังคงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บุ้งทำก็ได้ แต่เราจะเห็นว่ามันมีความสำคัญมากหรือน้อยสักแค่ไหนกันเช่น หากมองเทียบกับความรุนแรงในแง่อื่นๆ เราจะเห็นว่าความก้าวร้าวที่เราประหวั่นพรั่นพรึง แล้วคนหลายคนชอบตำหนิถึงขนาดที่บอกว่า "บุ้งสมควรแล้วที่จะโดนเล่นงาน สมควรแล้วที่จะตายเพราะตัวเองก้าวร้าวเอง"Put into perspective อันดับแรกคือ ใส่ลงไปเปรียบเทียบกับความรุนแรงอื่นๆ ทางการเมือง คุณจะเห็นว่าสิ่งที่ก้าวร้าวของบุ้งนั้น กระจิ๊ดริดเดียวเองความรุนแรงทางการเมืองอื่นๆ ได้แก่อะไร ... รัฐประหาร นิติสงคราม สิ่งเหล่านั้นไม่รุนแรงเหรอ?ถ้าเรา Put into perspective ในแง่นี้ แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบุ้ง เราอาจจะยังเห็นค้านอยู่ว่าวิธีการของบุ้งอาจจะยังไม่ดีที่สุด แต่เราจะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอย่างที่เราควรตระหนก ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะด่าถึงขนาดว่า สมควรแล้ว ... คุณใจไม้ไส้ระกำขนาดไหนนั่นก็เพราะคุณไม่เข้าใจจึงตื่นตระหนกกับการประท้วงของบุ้ง ซึ่งใช้เพียงการพ่นสี ใช้แบบสอบถาม… สิ่งเหล่านั้นคือขี้เล็บเลยเมื่อเทียบกับการรัฐประหารและนิติสงคราม และต่อให้คุณไม่เห็นด้วยกับบุ้ง อย่างเลวที่สุดก็แค่ว่า เราเป็นห่วง เราอาจจะไม่ได้แนวร่วมแต่จะไม่ไปสู่ภาวะที่เรากลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ประณามคนที่ใช้วิธีการซึ่งแสนจะไม่รุนแรงเหล่านี้ผมไม่เห็นด้วยนะที่มีผู้บอกว่า "การอดอาหารของบุ้ง นำไปสู่การเสียชีวิตของเธอ"ผมมองว่าการประท้วงของบุ้งไม่ได้นำไปสู่การเสียชีวิตนะ ความละเลยของสังคมและของรัฐเป็นเหตุให้เธอเสียชีวิต ความเฮงซวยของระบบการรักษาพยาบาลของราชทัณฑ์เป็นเหตุให้เธอเสียชีวิต การอดอาหารไม่ได้ทำให้บุ้งเสียชีวิตนี่ก็เหมือนกัน ผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการอดอาหาร แต่ Put into perspective คือเมื่อมองให้ครบแล้วเราจะพบว่า เหตุที่ทำให้เธอเสียชีวิตมันมีปัจจัยอื่นซึ่งน่ารังเกียจ น่าโกรธ และต้องจัดการแก้ไข แทนที่จะโทษการอดอาหารโดยตัวมันเองPut into perspective อันที่สอง คุณดูความรุนแรงทางกฎหมายให้ดี สิ่งที่เรียกว่านิติสงครามนั้น สิ่งที่บุ้งประท้วงคือการประท้วงต่อความรุนแรงทางกฎหมายด้วยการใช้สี ใช้แบบสอบถาม ความรุนแรงทางกฎหมายที่บุ้งประท้วงคือ หนึ่ง-ไม่ให้ประกันตัว สอง-ฟ้องมั่วซั่วอันที่สาม ผมขอยกตัวอย่างคือ ฝรั่งแคร์มากว่า ถ้าไม่จำเป็น การให้ติดคุกแม้แต่คืนเดียวมันคือความรุนแรงซึ่งรับไม่ได้ พวกเราพอเห็นเขาฟ้องกันบ่ายวันศุกร์ ถึงเราจะไม่พอใจแต่หลายคนก็หัวเราะ "เฮ้ย นี่เขาต้องติดคุกค้างคืนนะ" อย่างมากพวกเราก็ตำหนิผู้พิพากษาที่ไม่ยอมทำงานวันเสาร์อาทิตย์... แต่ผู้พิพากษาก็ยังไม่ยอมทำงานวันเสาร์อาทิตย์เพราะอะไร เพราะเขาไม่แคร์การที่คนติดคุกหนึ่งคืน!ขออภัยที่ผมเป็นฝรั่ง สำหรับผม การปล่อยให้คนติดคุกหนึ่งคืนเป็นความรุนแรงยิ่งกว่าการพ่นสีและการใช้แบบสอบถามนี่แหละครับ Put into perspective คือลองไปเทียบกับอื่นๆ แล้วเราจะเห็นว่า ต่อให้ผมไม่เห็นด้วยด้วย ผมก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่บุ้งทำนั้น ไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใดใช่ มีคนอึดอัดกับการประท้วงของบุ้งในหลายกรณี เช่น การทำให้เสียแนวร่วม เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่ย้อนกลับไปยังจุดที่ทนายเมย์พูดเมื่อเช้า เราควรมองให้เห็นว่าเอาเข้าจริงมันไม่ได้รุนแรง แล้วจะได้มองประเด็นถัดไปคือ จุดมุ่งหมายของการประท้วงของบุ้งต่างหากล่ะครั้นเรามองไปที่จุดมุ่งหมาย มองไปที่จุดประสงค์ เราจะเห็นทันทีว่าใครก็แล้วแต่ที่พูดว่า "สมน้ำหน้า สมควรแล้ว" ใครก็แล้วแต่ที่โทษว่า "การสูญเสียเป็นผลของการกระทำของเธอเอง" ใครก็แล้วแต่ที่พูดว่า "การสูญเสียเกิดขึ้นจากการอดอาหาร" ... ผิดทั้งหมดน่าเสียดายที่แม้แต่คนที่เคยเป็นฝ่ายประชาธิปไตย หลายคนก็กลับเชื่อว่า เยาวชนที่ลุกขึ้นเรียกร้องปฏิรูปสังคมไทยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น 'ถูกล้างสมอง ถูกชักใย' ซึ่งเป็นวาทกรรมไม่ต่างกับพวกฝ่ายขวาจัดและฝ่ายความมั่นคงพยายามพูดตลอดเวลาผมจึงอยากจะกลับมาในประเด็นหัวใจของการต่อสู้ของบุ้ง ก็คือความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนการยุติธรรมเป็นเหตุผู้ก่อความอยุติธรรมเสียเองการประท้วงที่นำไปสู่การจับกุมคุมขังบุ้ง ส่วนมากเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่กระทำต่อผู้มีความคิดและค่านิยมต่างออกไปจากสิ่งที่สังคมไทยยึดถือ หรือที่เราเรียกกันว่า นักโทษการเมืองหรือนักโทษทางความคิด โดยเฉพาะประเด็นง่ายๆ คือการปฏิเสธสิทธิการประกันตัวคงไม่จำเป็นต้องอธิบายกันยืดยาวอีกแล้วในประเด็นนี้ว่าการใช้กฎหมายหลายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 112 เป็นปัญหาขนาดไหน ถ้าตัวบทและการบังคับใช้และการให้ใครฟ้องก็ได้ การตีความที่เกินเลย แถมยังไม่คงเส้นคงวาอีกด้วยความไม่คงเส้นคงวาและคาดการณ์ไม่ได้ เช่นในคดี พอล แชมเบอร์ หรือในคดีไอโอ ถ้าคุณไปฟังกรรมาธิการที่ สส.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นประธาน เขาก็จะบอกว่าต้องทำการสอบสวนพวกนี้เพื่อให้มีการแก้ไขคุณฟังคำแก้ตัวของ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก คุณรู้สึกอย่างไร? คุณคิดว่าเขาโง่เหรอ คุณคิดว่าเขารู้ไหมว่ามันทุเรศ รู้แล้วทำไมเขาทำผมคิดว่าเขารู้ว่า ความไม่คงเส้นคงวาและคาดการณ์ไม่ได้ ทำให้อาวุธของเขาทรงพลัง ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาทำให้คาดการณ์ได้ ทำให้คงเส้นคงวา การสอดส่องโดยไอโอและการใช้กฎหมายโหดเหี้ยมทั้งหลายจะหมดพลังทันที เพราะเราจะรู้จักหลบหลีก แต่ตราบใดที่ทำให้มันไม่คงเส้นคงวา คาดการณ์ไม่ได้ จะก่อให้เกิดความกลัวกันทั่วไปสิ่งที่ สส.วิโรจน์ ด่าว่า โง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจนั้น ... ผมอยากจะบอกว่าเขารู้ตัวเองและเขาตั้งใจ เพราะความโง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจ เป็น Methodology ของรัฐพันลึก(ธงชัย วินิจจะกูล เขียนบทความเรื่อง โง่แต่ขยัน ลุแก่อำนาจ : วิธีการของรัฐเพื่อความ (ไม่) มั่นคง | ไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤษภาคม 2568)ผมคิดว่าการใช้กฎหมายไม่คงเส้นคงวา การดำเนินผิดปกติบ่อยครั้งแล้วใช้ Methodology ดังที่ผมกล่าว ก่อให้เกิดความกลัวทั้งในหมู่ประชาชน เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ทั้งตำรวจ อัยการและผู้พิพากษาด้วย จนมีผลทำให้การพิจารณาและตัดสินคดีจำนวนมากเคลือบแคลงน่าสงสัย เป็นรอยด่างดำของประเทศไทยในสายตานานาชาติเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการยุติธรรม ความอยุติธรรมจึงเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น หลังๆ นี้สังเกตไหม ทนายอานนท์นอกจากติดคุก ถูกพิพากษาหลายคดี ด้วยสาระของการประท้วงเช่นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หลายๆ เดือนที่ผ่านมา ทนายอานนท์ก็ติดคุกเพิ่มด้วยนะ จากการประท้วง 'วิธีการดำเนินคดีในศาล' หรือการประท้วง ป.วิ.อาญาฯ นั่นแหละ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือ ป.วิ.อาญาฯ) ว่าท่านไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.อาญาฯ ประท้วงสิ่งที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Due processเพราะความยุติธรรมไม่ได้ขยับจากตัวบทและการบังคับใช้กฎหมายมาสู่วิธีการพิจารณาความ นั่นก็เกิดความอยุติธรรมแล้ว เช่น พิจารณาคดีเป็นความลับ ไม่ให้เอกสารจำเลยมาใช้ประกอบการต่อสู้คดีด้วยการอ้างความมั่นคง คำตัดสินที่ไม่ลงชื่อผู้พิพากษา หรือกรณีที่เราอาจเคยได้ยินแต่คนที่ไม่รู้เทคนิคกฎหมายอาจจะมองข้าม คือการยอมให้อธิบดีศาลแทรกแซง สิ่งนี้เกิดขึ้นสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชาระบบศาลทั่วโลกประกันความยุติธรรมด้วยหลักง่ายๆ ซึ่งฟังดูแล้วปัญญาอ่อนแต่มันเวิร์กกันทั้งโลกก็คือหลักที่เรียกว่า Random (สุ่ม) ซึ่งเป็นหลักที่ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าคดีไหนจะไปตกที่ผู้พิพากษาคนไหน และให้ผู้พิพากษาคนนั้นมีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินสิ่งที่คนเป็นจำเลยต้องตระหนักคือ สมมุติผู้พิพากษามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือขัดแย้งกับคดีนั้น เรามีสิทธิ์ให้ผู้พิพากษานั้นเปลี่ยนคณะ แล้วพอเปลี่ยนออกปุ๊บแล้วสุ่มผู้พิพากษาคณะใหม่ ก็จะไม่มีใครรู้เลยว่าคดีนั้นจะไปตกกับผู้พิพากษาคนไหน นี่คือวิธีประกันความยุติธรรม โดยอธิบดีหรือเจ้านายของผู้พิพากษาก็กำหนดไม่ได้ และไม่รู้ว่าคดีจะไปอยู่ที่ใครการกำหนดให้ผู้พิพากษาทั้งหลายต้องปรึกษาอธิบดี จริงๆ แล้วในทางปฏิบัติงานในทฤษฎีไม่ได้บอกว่าให้อธิบดีมาแทรกแซงนะ บอกแค่ว่าปรึกษาอธิบดีได้จากข้างล่างขึ้นไปข้างบน แต่ในทางปฏิบัติคือ ยอมให้ข้างบนลงมาแทรกแซงได้ผลของมันคือ คุณากร เพียรชนะผลของมันคือ การแทรกแซงจนผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่ยึดหลักการทนไม่ไหว ผลิตชีวิตตัวเอง เพราะการแทรกแซงจากเจ้านายคดี 112 ทุกวันนี้ ผู้พิพากษาเริ่มจะไม่ลงชื่อในคดีแล้ว ในแง่หนึ่งเราด่าท่านก็สมควรแล้ว แต่อีกแง่หนึ่งก็เพราะว่า ท่านไม่ใช่คนตัดสินคดี เพราะ 'บอส' ต่างหากล่ะ ลงมารับผิดชอบสิ!เหล่านี้เป็นความผิดเพี้ยนอยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งทนายอานนท์ประท้วงแล้วประท้วงอีก ฟังดูอาจเป็นเรื่องเทคนิค แต่ตามดูให้ดีจะพบว่า เพราะทนายอานนท์ตระหนักว่า ความอยุติธรรมได้เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม... ตัวมันเองนั่นแหละคดีพอล แชมเบอร์ สิ่งที่ผมอยากสรุปมีนิดเดียวคือ มันได้เกิดขึ้นจนเป็นปกติ คนฟ้องทั้งหลายจึงลงมือกระทำอย่างมั่วๆ ไม่ต้องระมัดระวัง ดีที่ว่าคดีนี้กลายเป็นกรณีนานาชาติลงมากดดัน ถ้าเป็นคนไทยเหรอ... ถ้าเขาไม่ได้ชื่อพอล แค่ชื่อพร เขาเสร็จไปละ20 ปีที่ผ่านมาภายใต้ตุลาการภิวัฒน์ มีคดีทำนองเดียวกันอีกจำนวนมาก ความอยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรม เป็นที่รับรู้กันทั่วในสังคมไทย ถึงขนาดที่ผมเห็นว่าขณะนี้ได้เกิดวิกฤติความน่าเชื่อถือของวงการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าตุลาการ อัยการ จะยอมรับหรือไม่ มันได้เกิดวิกฤติเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่มีคนประท้วงเพียงไม่กี่คน พวกเราทำอยู่ราวโดดเดี่ยวเหลือเกิน คุณคิดหรือว่าคนที่ไม่เชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม จำเป็นจะต้องหมายถึงคนที่ออกมาประท้วง ผมคิดว่าคนที่ไม่ออกมาประท้วง ไม่พูดอะไรเลยเพราะกลัว มีจำนวนมหาศาลวิกฤติความน่าเชื่อถือจะดำรงอยู่ตลอดไป ตราบที่ไม่มีความพยายามแก้ไข ภาวะเช่นนี้ทำให้สาธารณชนกลัวนิติสงคราม กลัวการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลเพื่อทำร้ายประชาชนที่ประท้วงและไม่เห็นด้วย เหล่านี้บุ้งอาจจะไม่เคยพูดตรงๆ คุณอาจจะบอกว่าผมขี้โกงตีความบุ้ง ผมคิดว่าผมตีความบุ้ง แต่ผมไม่ได้ขี้โกง ผมคิดว่าสิ่งที่บุ้งและอีกหลายๆ คนประท้วงเรื่องปัญหาในกระบวนการยุติธรรมของไทย มันได้กระเถิบมาถึงจุดนี้แล้ว ถึงจุดที่กระบวนการยุติธรรม เป็นผู้ก่อความอยุติธรรม ไม่ใช่เพียงตัวบทหรือการบังคับใช้กฎหมาย แม้กระทั่งในการพิจารณาคดีและ Due process ทั้งหลายก็มีปัญหาหมดแล้ว ทนายอานนท์จึงต้องประท้วงเพราะเขาเจอกับตัวเองผมเห็นว่าเหล่านี้คือเป้าหมายของบุ้งและของเราท่านทั้งหลายที่ควรต้องตระหนักและแก้ไขคำถามคือว สังคมไทยยังไม่ได้เริ่มถกเถียงกันเลยว่า ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ก่อความอยุติธรรมเสียเองเช่นนี้แล้ว เราจะมีวิธีจัดการอย่างไรนอกเหนือไปจากการเรียกร้องวิงวอน ขอร้องให้กระบวนการยุติธรรมทำตัวดีๆ หน่อยเถอะ สารภาพว่าผมก็จนปัญญา แต่ผมขอเน้นจุดที่ว่า เรายังไม่ได้เริ่มถกเถียงกันเลยเราท่านต้องเริ่มถกเถียงกันแล้วว่า เฮ้ย ถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ก่อความอยุติธรรมเอง ใครควรจะต้องเป็นผู้เข้ามาสะสาง เหตุที่เขาไม่สะสางเพราะมันกลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนแล้วไงครับ ใครจะสะสางผลประโยชน์ของตัวเอง ใครจะสะสางและยอมรับว่า ข้าพเจ้ากระทำความอยุติธรรมเสียเองไม่มีหรอกผมขอบอกแค่ว่า เราต้องคิดถึงกลไกทางสังคม ต้องคิดถึงกลไกที่เป็นสถาบันทางสังคมที่เขาจัดการสะสาง ซึ่งผมไม่ทราบว่า ประเทศไทยเหลือสถาบันอะไรที่จะให้เข้าไปใช้เมื่อ ‘การราชทัณฑ์’ เป็นผู้อำนวยให้เกิดความ ‘อยุติธรรม’ตอนครบร้อยวันการเสียชีวิตของบุ้ง จัดขึ้นที่ KINJAI CONTEMPORARY ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานรำลึกถึงบุ้ง ครั้งนั้นผมเสนอว่า ควรอาศัยโอกาสกรณีของบุ้งรณรงค์จัดการสะสางสิ่งที่เรียกว่า 'การราชทัณฑ์' ผมทราบครับ ผมตามดูอยู่ ผมไม่น้อยใจด้วยที่ไม่มีใครสนใจเลย เพราะผมคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม ผมเข้าใจด้วยว่าทำไมมองข้ามสิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงว่า ผมจะพูดอีก ถ้าพูดครั้งแรกไม่พอก็พูดครั้งที่สอง ถ้าคุณไม่เบื่อแล้วเชิญผมอีก ผมก็จะพูดครั้งที่สาม สี่ ห้า ไปเรื่อยๆผมทราบดีครับว่าผู้จัดงานและเพื่อนๆ ของบุ้งอยากสืบทอดเจตนารมณ์ของเธอในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่คำๆ นี้ชวนให้เรานึกถึงตำรวจ อัยการและศาล เรามักจะมองข้ามว่า การราชทัณฑ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมด้วยการราชทัณฑ์ หลุดรอดจากการจับตาของสังคมนานเกินไปแล้ว ใช่ เรารู้ว่าคุกมันมีปัญหา แต่เรามีกลุ่มที่ขึ้นมารณรงค์จัดการสะสางปัญหาคุก... ไม่มีเรามีไอลอว์ เรามีศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เรามีรัฐสภา มีคณะนิติศาสตร์ มีคนเต็มไปหมดที่จะให้ความเห็นเรื่องกฎหมาย มีสักกี่คน มีสักกี่ครั้ง ที่เกิดกรณีเนื่องจากราชทัณฑ์แล้วมีกลุ่มที่รณรงค์เกาะติดจัดการปัญหาของเรือนจำ บอกชื่อกลุ่มนั้นให้ผมฟังหน่อยครับ ผมไม่ได้เรียกร้องกับรัฐบาลและสังคมไทยอย่างเดียวนะ ผมเรียกร้องกับพวกเราได้ว่า เฮ้ย เราลืมไปได้อย่างไรผมเห็นว่าการเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายเป็นพิเศษ เพราะมันได้เปิดเผยธาตุแท้ของราชทัณฑ์ไทยว่ามีคุณสมบัติโหดร้ายไร้มนุษยธรรมขนาดไหน และเปิดเผยปัญหาระดับวิกฤติของการราชทัณฑ์ไทย ใช่นะ เหตุมาจากเธอไม่ได้รับการประกันตัว เห็นด้วย แล้วผมก็ไม่ได้คิดว่าเราต้องเลิกพูดเรื่องสิทธิการประกันตัว แต่ขณะที่เราพูดเรื่องสิทธิการประกันตัวมาประมาณสิบล้านครั้งแล้วนั้น เราได้ยินการพูดถึงเรื่องการเสียชีวิตของบุ้ง ปัจจัยที่ต้องรับผิดไปเต็มๆ คือเรือนจำ คือการราชทัณฑ์ตรงไปตรงมาเลย ใครหรือปัจจัยที่ทำให้บุ้งเสียชีวิต ไม่ใช่การอดอาหาร แต่คือการราชทัณฑ์ที่ไม่เพียงพอ ไม่ทันการ ไม่เหมาะสม ไม่มีมนุษยธรรม ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ การอดอาหารประท้วงไม่เคยทำให้ใครตายกรณีของบุ้ง (เนติพร เสน่ห์สังคม) และกรณีของอากง (อำพล ตั้งนพกุล) ฟ้องถึงความล่าช้าไม่แยแส ไม่พร้อม ไม่ปฏิบัติต่อนักโทษที่เจ็บป่วยเป็นเหมือนมนุษย์ บวกกับความพยายามรักษาหน้า ปกปิดความผิด บ่ายเบี่ยงหน่วงเหนี่ยวกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงของการเสียชีวิตของเธอ กรณีของบุ้งและอากงจึงเป็นหลักฐาน เป็นประจักษ์พยานที่มีลักษณะพิเศษที่มันก่อให้เกิดผลร้ายที่เหลือเชื่อ นั่นคือมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น จึงน่าจะใช้โอกาสนี้รณรงค์ สะสางการราชทัณฑ์ อย่างที่ไม่แยกขาดจากการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ แต่ขณะเดียวกัน ต้องเน้นว่ามีความสำคัญ แทนที่จะพูดถึงแค่ 'การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม' อย่างเป็นนามธรรม แล้วปล่อยให้การปฏิรูปการราชทัณฑ์ ถูกมองข้ามละเลยไปพวกเราเคยรู้ไหมว่า สภาพของเรือนจำเป็นปัจจัยที่มีผลกับการสารภาพของผู้ต้องคดี 112 หลายคนที่ถูกฟ้องกรณี 112 บางคนก่อนเริ่มดำเนินคดีหรือดำเนินคดีไปแล้ว เขาจะปรึกษาทนาย แล้วคิดคำนวณให้ดีว่า ดูรูปคดีแล้วจะหนักหนาแค่ไหน ถ้าไม่หนักหนา การสารภาพจะช่วยตัดตอนการพิจารณาคดี แล้วช่วยลดโทษลงไปครึ่งหนึ่งด้วย ถ้าหนักหนา ดูแล้วมีหลายกระทงหลายกรรม ถ้าเกินเกณฑ์บางอย่าง สารภาพไปก็ไม่ช่วยลดโทษเท่าไหร่ ... ไม่ต้องสารภาพเท่ากับว่า สภาพคุกเป็นปัจจัยหนึ่งของการสารภาพ และเท่ากับว่ากรณีเช่นนี้ คำสารภาพเหล่านี้เกิดจากการถูกคุกคาม เพียงแต่ไม่ได้ถูกคุกคามเป็นวาจาจากเจ้าหน้าที่ แต่คุกคามโดยสภาพของเรือนจำ เท่ากับว่า คำสารภาพเหล่านี้ถือว่าเป็นการสารภาพซึ่งรับฟังไม่ได้ (Forced confession) และในความเป็นจริง หลายคนที่สารภาพเขาก็ยืนยันว่าเขาไม่คิดว่าเขากระทำผิด แต่จำเป็นต้องสารภาพเพื่อให้ระยะเวลาในการติดคุกสั้นที่สุดทำไมเรือนจำถึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกมองข้าม หากเราเผอิญพูดถึงชะตากรรมของนักโทษการเมือง เพราะมันทำให้เขาต้องคิดหนักว่าจะสู้หรือไม่สู้ หลายคนจึงเลือกไม่สู้คดี เพื่อจะได้กลับมาสู้ต่อในเวลาสั้นที่สุด เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงของคดีไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการสารภาพ เท่ากับสภาพคุกถ้าหากการต่อสู้ช่วยให้เกิดการปรับปรุงและปฏิรูปจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ยังจะเป็นประโยชน์ต่อนักโทษนับหมื่นนับแสนคนในเรือนจำทั่วประเทศไทยอีกด้วยผมอยากเสนอว่า การต่อสู้เรื่องคุกเท่ากับสืบทอดเจตนารมณ์ของบุ้งด้วยนะในแง่นี้ เพราะสิ่งที่คุณจะเรียกร้องให้ปรับปรุงกระบวนการราชทัณฑ์ มีคนที่จะได้รับประโยชน์มากมายเกินกว่านักโทษการเมืองมากนัก ได้แก่นักโทษทั้งหมดในเรือนจำประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่นหนึ่ง - ยกเลิกกุญแจเท้าได้ไหมครับ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังใส่ตรวนที่ข้อเท้า ในอเมริกาก็ยังมีนะ แต่ใช้เฉพาะกรณีพิเศษอย่างนักโทษอุกฉกรรจ์หรือมีประวัติการหลบหนี แต่ประเทศไทยใส่หมดสอง - เวลานักโทษมาขึ้นศาล ให้เขาใส่รองเท้าได้ไหมครับสองกรณีนี้ คุณคิดว่าผู้รับประโยชน์ คุณคิดว่านักโทษในเรือนจำทั่วประเทศไทยจะมีกี่คนที่คัดค้าน? มีกี่คนที่ได้ประโยชน์จากการยกเลิกสองประการนี้ ผมเชื่อว่าทั้งเรือนจำจะโห่ร้องไชโย เพราะทั้งสองประการนี้มีไว้เพื่อลดทอนความเป็นคน จุดประสงค์ใหญ่ไม่ได้ต้องการป้องกันการวิ่งหนี นั่นเป็นข้ออ้าง แต่จุดประสงค์ใหญ่ของการตีตรวนและไม่ให้ใส่รองเท้า เพื่อลดทอนความเป็นคนผมท้าเลย ผู้คุม การราชทัณฑ์ ราชการ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมคงออกมาปฏิเสธหมด เขาคงบอกว่าเพื่อป้องกันการหลบหนี แต่เอาเข้าจริง สองอย่างนี้เป็นมรดกตกโทษมาจากจารีตนครบาล หมายถึงระบบการสอบสวนและการลงโทษแบบโบราณ ซึ่งยกเลิกไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2439 ร้อยกว่าปีแล้วมันเป็นมรดกตกทอดจากระบบราชทัณฑ์ ซึ่งถือว่านักโทษถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ไปหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว นั่นเป็นคติโบราณซึ่งยังมีอยู่ แล้วแม้กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 5 ยังให้ยกเลิกเลย เพราะ... คำของท่านเองนะ 'ป่าเถื่อน'ขอเสนออีกอย่างหนึ่ง คือการยกเลิกการตีตรวนที่เท้าและไม่ให้ใส่รองเท้านั้น ไม่ได้อยู่ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ หมายถึงการยกเลิกสามารถทำได้โดยไม่ต้องเอาเข้าสภาด้วยซ้ำไป สามารถทำได้โดยรัฐมนตรี และหากไม่ผิด มันอยู่ที่อำนาจระดับอธิบดีแค่นั้นเอง ถือว่าเป็นกฎหมายศักดิ์ต่ำมาก ต่ำกว่า สว. เยอะ ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนสภาหรือผ่านสามวาระด้วยซ้ำไป รัฐบาลอะไรก็ได้ เช่นรัฐบาลเพื่อไทย หรือจะรอจนภูมิใจไทยมาทำก็แล้วแต่ ก็สามารถทำได้ ถ้าหากเห็นว่าสิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันนี้มันป่าเถื่อนผมยกตัวอย่างแค่ 2 ประการนี้ คุณเห็นไหมว่าถ้าสามารถช่วยให้มันเกิดขึ้นได้ จะเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ในวงการราชทัณฑ์ ยกเลิกตรวนกับยอมให้ใส่รองเท้าเนี่ย เพราะทำให้เขาเป็น 'คน'การราชทัณฑ์ของไทย เป็นมรดกของการสอบสวนและลงโทษแบบจารีตนครบาล ซึ่งผู้ต้องขังมีความผิดจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ และยอมให้ใช้การทรมานเพื่อรีดคำสารภาพได้การราชทัณฑ์ของไทย ยังไม่เปลี่ยนผ่านไปสู่การลงโทษแบบอารยะสมัยใหม่ ซึ่งถือว่านักโทษเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วการลงโทษ จึงเป็นการบำบัด ปรับปรุงตัว ด้วยเหตุนี้กรมราชทัณฑ์จึงใช้ภาษาอังกฤษว่า Department of Corrections เพราะคำว่า Corrections มันอยู่บนพื้นฐานของการเห็นว่า ระบบการลงโทษสมัยใหม่ของนักโทษเป็นมนุษย์ คุณต้องบำบัดปรับปรุงเขา แต่การราชทัณฑ์เป็นศัพท์ที่มากับระบบการสอบสวนลงโทษแบบสมัยเก่า ซึ่งเห็นว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้นของไทยเขียนครึ่งบนว่า กรมราชทัณฑ์ เขียนครึ่งล่างว่า Department of Corrections เป็นการแปลที่ขี้ตู่ เพราะเอาคำสองคำซึ่งอยู่คนละระบบ เข้ามาไว้ในชิ้นเดียวกัน ราวกับว่าสองอย่างเหมือนกัน ทั้งๆ ที่สองอย่างนี้ ไม่เหมือนกันในความเห็นของผม เลิกเถอะครับ ถ้าต้องการแก้ความอยุติธรรม ต้องยกเลิกระบบคุกแบบไทยๆผมอยากจะบอกเพียงว่า สิ่งที่เหมือนกันระหว่างทักษิณกับนักโทษทางการเมืองทั้งหลาย คือถูกกลั่นแกล้งจากความอยุติธรรมที่เกิดในกระบวนการยุติธรรม แต่การใช้อภิสิทธิ์ ใช้ดีลเพื่อแก้ปัญหาว่าตัวเองจะติดหรือไม่ติดคุก ทั้งหมดนี้ ไม่เหมือนกันเลยไม่เหมือนกันอย่างไรฝ่ายหนึ่ง ชะตากรรมของผู้ต้องขังปกติซึ่งได้รับการรักษาพยาบาลอย่างจำกัด ล่าช้าอย่างน่ารังเกียจ ไม่เหมาะสมและไม่เพียงพออย่างน่าอนาถ ไร้มนุษยธรรมอย่างเหลือเชื่อ เปรียบเทียบกับอีกฝ่ายหนึ่ง อภิสิทธิ์พิเศษในระบบการรักษาพยาบาลของราชทัณฑ์เหมือนกันตรงไหน? ต่างกันราวฟ้ากับดินฝ่ายหนึ่งเจ้าหน้าที่ปกปิดความจริงต่อสาธารณะ ได้รับการปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่อย่าง 'แย่เป็นพิเศษ' เพราะคนทุกคนมีค่าน้อยกว่าคนปกติไปแล้ว กับอีกฝ่ายหนึ่ง ตบตาประชาชน เพราะได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างดีเป็นพิเศษ เพราะดีลที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายอภิสิทธิ์ชน สูงกว่าคนธรรมดาไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น เทียบกันไม่ได้เลยรัฐอภิสิทธิ์ แห่งการ ‘ลอยนวลพ้นผิด’กรณีของบุ้งยังเกี่ยวข้องกับความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง คือการที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บ่ายเบี่ยง หน่วงเหนี่ยวการหาความจริง พยายามหลีกเลี่ยงการรับผิด (Accountability) หรือต้องการให้เกิด 'การลอยนวลพ้นผิด' นั่นเองการลอยนวลพ้นผิดเป็นโรคร้ายที่เรื้อรังในระบบในเมืองไทยและระบบยุติธรรมไทย ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น (Tyrell Haberkorn) นักวิชาการได้เขียนหนังสือมาเล่มหนึ่ง ประเด็นใหญ่ใจความคือ 'การลอยนวลพ้นผิดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสร้างชาติไทยสมัยใหม่มาแต่ต้น' เพราะฉะนั้น ไม่ง่ายที่จะแก้พูดง่ายๆ ประเทศไทยเป็นไทยได้ทุกวันนี้ นอกจากบุญคุณที่เรามีต่อบรรพบุรุษทั้งหลายแหล่แล้ว ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ บวกเข้าไปอีกหนึ่งอย่างคือ การลอยนวลพ้นผิดผมเคยเสนอว่า ประเทศไทยเป็นนิติรัฐอภิสิทธิ์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Prerogative State หมายถึงรัฐที่ปกครองโดยระบบกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์อย่างมากแก่รัฐ ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐเป็นพิเศษโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ อภิสิทธิ์ทางกฎหมายที่สำคัญ คือให้งดเว้นใช้กฎหมายปกติ หรือพูดให้ชัดไปกว่านั้นคือ ให้งดเว้น ป.วิอาญาฯ เพื่อให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติการในสภาวะยกเว้น กรณีภาวะฉุกเฉิน หรือกรณีที่มีภัยต่อความมั่นคงของชาติ ให้งดเว้น ป.วิอาญาฯ ตามปกติ ไม่ต้องบังคับใช้ ซึ่งเท่ากับว่า ให้อำนาจเกินเลยแก่เจ้าหน้าที่ เช่น จับกุมง่ายๆ รีดคำสารภาพ ยึดทรัพย์ ใช้ความรุนแรงอยากรู้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมไหมครับ ตามข่าวสารในจังหวัดภาคใต้สิครับ นั่นแหละอยู่ในสภาวะยกเว้นบนฐานของกฎหมายพิเศษที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐโดยการงดใช้ ป.วิอาญาฯ หลายมาตรา เกือบจะ 20 ปีแล้ว นั่นแหละคือวิธีรัฐอภิสิทธิ์ทั้งประเทศอยู่ในพื้นฐานของระบบนิติศาสตร์แบบนี้ ซึ่งอ้างข้อยกเว้นเป็นประจำ เอะอะก็อ้างลักษณะพิเศษ ศาลรัฐธรรมนูญก็อ้างลักษณะพิเศษ ใครต่อใครก็อ้างลักษณะพิเศษ จนถึงเพจหนึ่งก็อ้างลักษณะพิเศษ เพราะการอ้างลักษณะพิเศษ เรียกอีกอย่างคือการอ้างว่านี่เป็นข้อยกเว้นที่ไม่ควรใช้กฎหมายตามปกตินี่คือรัฐอภิสิทธิ์ หมายถึงการอ้างสารพัด ต่างกรรมต่างวาระ และอ้างเป็นประจำจนกระทั่งมันกลายเป็นปกติแล้ว เพื่อให้อำนาจพิเศษแก่รัฐตัวอย่างในแง่กฎหมายคืออะไร... พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 สาระสำคัญโดยสรุปคือ การทำให้สภาวะยกเว้นการเป็นสภาวะปกติ ทำให้อภิสิทธิ์งดใช้กฎหมายตามปกติ เป็นเรื่องปกติใช่ สภาวะยกเว้นให้อำนาจพิเศษแก่รัฐ เป็นกฎหมายในทุกประเทศในโลก ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนมีหมด แต่เขาให้เฉพาะภาวะยกเว้น เช่น เกิดพายุ สงคราม ฯลฯ ตัวอย่างภาวะยกเว้นที่เป็นภาวะปกติไปเรียบร้อยแล้วได้แก่สามจังหวัดภาคใต้ไงครับแต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งซึ่งทุกประเทศในโลก ถึงแม้จะเขียนว่าให้อำนาจพิเศษแก่รัฐในสภาวะยกเว้น เช่น เกิดกรณีภัยพิบัติธรรมชาติหรือสงคราม กระนั้นก็ตาม ในโลกนี้เท่าที่ผมทราบ ไม่มีที่ไหนเลยให้อภิสิทธิ์แก่รัฐ ถึงขนาดให้อภิสิทธิ์ลอยนวลพ้นผิด เนื่องจากรัฐได้อภิสิทธิ์ มีอำนาจพิเศษในภาวะผิดปกติ การใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลในภาวะอย่างนั้น 'รับโทษสองเท่า' แต่ของเราไม่ต้องรับโทษเลย ตรงนี้แหละที่ต่างขอย้ำนะ การลอยนวลพ้นผิดเรามักจะใช้ภาษาไทยว่า 'เป็นวัฒนธรรม' มันถูกแค่ครึ่งเดียว มันไม่ใช่วัฒนธรรม มันเป็นอภิสิทธิ์ทางกฎหมาย ซึ่งไม่สมควรให้มีอยู่ เหตุที่มันเป็นวัฒนธรรมในสังคมไทย เพราะเราอยู่กับมันจนเคย ไม่ใช่เพราะตัวมันเองเป็นวัฒนธรรม ไม่ใช่ เพราะว่าการแก้ไขวัฒนธรรมมักต้องอาศัยการถกเถียงยาวนาน ออกคำสั่งบังคับพฤติกรรมยาก แต่อภิสิทธิ์ทางกฎหมายที่เรียกว่า อภิสิทธิ์ลอยนวลพ้นผิดนั้น สามารถระงับให้ยุติลงได้ฉับพลันเพียงแค่ออกกฎหมายบัญญัติให้ 'ห้ามให้มีการลอยนวลพ้นผิด' กฎหมายทั้งหลายที่ให้ภาวะยกเว้นเหล่านั้น เป็นอันยกเลิกให้หมดการแก้ไขปัญหาการลอยนวลพ้นผิดทำได้ยาก แต่ทำได้ฉับพลันด้วยการออกกฎหมาย 'ห้ามทำ' ไม่ต้องอาศัยการเข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเลย มันจึงไม่ใช่วัฒนธรรมนักวิชาการยังมีภารกิจที่ต้องทำเกี่ยวกับเรื่องการลอยนวลพ้นผิดก็คือ ในเมื่ออภิสิทธิ์การลอยนวลพ้นผิดเป็นคุณสมบัติพิเศษในสังคมไทย จนถึงวันนี้ นักวิชาการไม่ว่าจะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรืออะไรศาสตร์ก็แล้วแต่ เรายังเข้าใจมันไม่มากพอว่ามีแบบแผนอะไร มีเงื่อนไขอะไรแม้แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถทำได้หมด หรือลงไปดูแม้กระทั่งศัพท์ภาษากฎหมาย การใช้ศัพท์และภาษากับการให้อภิสิทธิ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ มีคำและวาทกรรมอะไรบ้างที่เปิดโอกาส แล้วเราจะปิดช่องเหล่านั้นอย่างไร ยังไม่มีคนศึกษา เพราะเรามองข้ามเรื่องลอยนวลพ้นผิดมาเป็นเวลานาน เพราะเราอยู่กับมันจนคิดว่ามันเป็นธรรมชาติมันเป็นลักษณะพิเศษของสังคมไทยนะ อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่มีการสร้างชาติไทยนี่แหละ เพราะฉะนั้น เราถูกทำให้ชินจนลืมไปว่า มันเป็นสิ่งแปลกปลอมทางกฎหมาย ซึ่งไม่สมควรให้ดำรงอยู่เราสามารถทำให้การเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายได้ โดยทำกรณีของบุ้งมีผลต่อกระบวนการปฏิรูป กระบวนการยุติธรรม โดยทำให้มันไปจุดประกาย เป็นแรงบันดาลใจให้มีการปฏิรูปในความเห็นของผม ผมอยากเสริมว่างานของเราไม่ง่ายเลย เพราะเรามองข้ามการราชทัณฑ์มาตลอด และกรณีของบุ้ง เป็นกรณีพิเศษเช่นเดียวกันกรณีอากง คือเป็นประจักษ์พยานที่ฟ้องความโหดร้าย ฟ้องถึงปัญหา อย่างกรณีของบุ้ง หากลงไปดูในรายละเอียด เราสามารถสืบหาสิ่งที่มันผิดปกติและควรจะแก้ได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ผมอยากให้กรณีบุ้งจุดเรียกร้องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ 'การราชทัณฑ์'ภาพ: ไข่แมวชีส, อนุชิต นิ่มตลุง, Way Magazine