ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความเสียดาย หลังศาลไม่อนุมัติให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางออกนอกประเทศ โดยเสียดายโอกาสที่จะได้เข้าพบกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา หลังทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันดีโดยอาจมีผลต่อเรื่องการเจรจากำแพงภาษี
“ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรง เป็นผู้ต้องหาที่ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี ภายใต้เงื่อนไขการเดินทางไปต่างประเทศต้องขออนุญาตศาล เคยทั้งได้รับอนุญาตและไม่อนุญาตให้เดินทาง
ตอนเป็นรัฐมนตรีขอเดินทางก็มีที่ศาลไม่อนุญาต ผมเข้าใจเอาเองว่าเหตุผลสำคัญที่ศาลไม่อนุญาตเดินทางคือเกรงจะหลบหนี ในใจก็สงสัยว่าตั้งแต่โดนสารพัดคดีติดคุกกี่รอบไม่เคยหนี ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีผมจะหนีทำไม แต่ก็เคารพดุลยพินิจศาล
หลังรัฐประหารเคยถึงขั้นศาลอนุญาตแล้ว วันเดินทางผ่านทุกขั้นตอนจนนั่งประจำที่รอเครื่องขึ้นบิน อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ตม.มาพาตัวลงจากเครื่อง บอกว่ายังมีหมายห้ามเดินทาง ต้องลงมาสู้มาเคลียร์เอกสารหลักฐานกันยกใหญ่ ไม่ได้เดินทางในเที่ยวบินเช้านั้น ได้ไปอีกทีเที่ยวดึกวันเดียวกัน
...
ใครก็ตามเป็นจำเลยเมื่อยื่นขอประกันตัว หากศาลกำหนดเงื่อนไข หมายความว่าถ้าจะได้ประกันต้องตามนั้น แล้วก็ต้องถือปฏิบัติจนกว่าคดีถึงที่สุด หรือศาลกำหนดเงื่อนไขเป็นอย่างอื่น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับร่วมกัน
กรณีอดีตนายกทักษิณก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้ เท่าที่ขอเดินทางศาลไม่อนุญาตเป็นส่วนใหญ่ ครั้งล่าสุดเมื่อศาลไม่อนุญาตก็ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยชอบ ฝ่ายจำเลยเลือกทำได้สองอย่าง คือยอมรับและยุติแผนการเดินทางครั้งนี้ หรืออุทธรณ์คำสั่งตามสิทธิ์ที่พึงมี และรอคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ต่อไป
ตามข่าวบอกว่าเหตุผลที่ยื่นขอเดินทางครั้งนี้คือได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่กาตาร์ ซึ่งจะมีโอกาสพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คนเชิญคือเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ เข้าใจว่าจะมีบุคคลสำคัญทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลกอีกจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน
ผมไม่กังวลที่ดร.ทักษิณไม่ได้เดินทาง ทุกครั้งที่ท่านขอแล้วศาลไม่อนุญาตก็เฉยๆ เพราะเข้าใจกระบวนการ แต่คราวนี้พูดตรงๆ ว่าเสียดายโอกาส เพราะดร.ทักษิณกับประธานาธิบดีทรัมป์มีสัมพันธภาพที่ดีกันมายาวนานตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นนักธุรกิจ หากได้เจอกันในสถานการณ์กำแพงภาษี แม้ไม่มีวาระหารืออย่างเป็นทางการ แต่ก็น่าจะมีบทสนทนาไม่ว่าจะกับโดนัลด์ ทรัมป์เองหรือทีมงานที่เป็นประโยชน์ และนำมาขยายผลในกระบวนการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศได้
แน่นอนว่าเรื่องเจรจาเป็นความรับผิดชอบหลักของรัฐบาล แต่สถานการณ์แบบนี้ใครมีศักยภาพจะช่วยบ้านเมืองได้ก็ต้องเอามาใช้ ไม่ใช่เพียงดร.ทักษิณ ใครก็ตามหากจะเป็นประโยชน์ต้องหาทางช่วยกัน การพูดคุยไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะทางการเสมอไป วงข้าว วงคุย วงดื่มสังสรรค์ หรือวงนอกรอบใดๆ ก็ทำได้
อยากให้ดร.ทักษิณได้เจอกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผมว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย”
ต่อมา น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ หรือ ลิซ่า รองโฆษกพรรคประชาชนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตอบโต้นายณัฐวุฒิ ว่า
”แล้วพี่ไม่เสียดายโอกาสที่ประเทศไทยมีแพทองธารเป็นนายกฯ แต่ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ หรือนัยหนึ่งก็ยอมรับแล้วว่า ลูกสาวอย่างแพทองธาร ที่เป็นตัวแทนของทักษิณ ทำอะไรไม่ได้เหมือนพ่อ
เรียนท่านที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เก็บอาการแล้วแสดงออกอย่างเชื่อมั่นในตัวนายกฯ ปัจจุบันมากกว่าพ่อท่านนายกฯ หน่อยค่ะ“