การฟ้องปิดปาก หรือ SLAPP คือการฟ้องคดีที่ใช้กระบวนการยุติธรรมในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมาย เพื่อหวังจำกัดหรือขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ โดยผู้ที่มักถูกฟ้องปิดปาก เช่น นักข่าว นักกิจกรรม ประชาชนที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิมนุษยชนของตนเอง หรือนักการเมืองฝ่ายค้าน ฯลฯการฟ้องคดีปิดปากในประเทศไทย มักจะเป็นคดีหมิ่นประมาท และเป็นที่น่าตกใจว่า คดีหมิ่นประมาทเป็นข้อกล่าวหาทางอาญา มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี และปรับ 200,000 บาท หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ซึ่งหลายครั้งพบว่า เอกชนผู้ฟ้องคดีอาจฟ้องเป็นคดีแพ่งในระหว่างการดำเนินคดีอาญาได้อีกด้วยภาพรวมการฟ้องคดีปิดปากในระดับสากลการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจและมีทรัพยากรมากกว่า ใช้ปิดปากผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า ถือเป็นปัญหาร่วมระดับสากล หลายประเทศและหลายองค์กรระดับโลกตระหนักถึงปัญหานี้ รวมถึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องให้แต่ละรัฐ ‘ควบคุมและกำกับดูแล’ เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้เสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพเราลองมาดูกันว่า SLAPP ถูกพูดถึงอย่างไรบ้างในระดับสากลผู้รายงานพิเศษสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการชุมนุม (UN Special Rapporteur on Freedom of Assembly) ได้อธิบายว่า SLAPP หมายถึง ความพยายามเพื่อปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์โดยการข่มขู่ผู้วิจารณ์ให้หยุดแสดงความเห็น รวมทั้งทำให้บุคคลนั้นสูญเสียทรัพยากร (ในระหว่างกระบวนการฟ้องร้อง) ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจและหันเหประเด็นการอภิปรายเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทผู้รายงานพิเศษด้านเสรีภาพในการชุมนุมของสหประชาชาติ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (ECtHR) ระบุว่า SLAPP คือ การดำเนินคดีที่ไม่มีมูลตามกฎหมาย โดยผู้มีอิทธิพล หรือบริษัทที่มีอำนาจ เพื่อข่มขู่นักข่าวและบุคคลอื่นๆ ให้ยุติการสืบสวน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จำเลย ‘เสียเวลาและทรัพยากร’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ยับยั้งการวิพากษ์วิจารณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายศาลสิทธิมนุษยชนทวีปอเมริกา (IACtHR) ระบุว่า การฟ้อง SLAPP ถือเป็นการใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรมโดยมิชอบ ซึ่งรัฐต้องควบคุมและกำกับดูแล เพื่อให้บุคคลสามารถใช้เสรีภาพในการแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้ออกมาเรียกร้องในเรื่องนี้ว่า การใช้กฎหมายอาญาจำต้องใช้เฉพาะคดีที่มีความร้ายแรงที่สุด และโทษจำคุกไม่ใช่การลงโทษที่เหมาะสม”สถานการณ์ในไทย เลวร้ายแค่ไหน?ผู้ฟ้องปิดปาก (SLAPP) ในประเทศไทยมักใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มาตรา 15 และมาตรา 16 โดยเรื่องนี้ นานาชาติได้แสดงความกังวลและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ว่ากฎหมายดังกล่าว ทำให้การแสดงความเห็นทางออนไลน์กลายเป็นอาชญากรรม และจำกัดการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยสงบสำหรับประเทศไทย การฟ้องร้องในลักษณะ ‘ฟ้องปิดปาก’ ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ‘เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ’มีสถิติที่น่าสนใจ จากการวิเคราะห์ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พบว่า การฟ้องปิดปากโดย ‘ภาคธุรกิจ’ และ ‘รัฐวิสาหกิจ’ ในไทย ช่วงปี 2540 - 2565 มีทั้งสิ้น 109 คดี โดย 74% เป็นการฟ้องคดีอาญา และอีก 26% เป็นการฟ้องคดีทางแพ่งโดยเหตุที่ถูกฟ้องแบ่งออกเป็น28% ถูกฟ้องเพราะเผยแพร่ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ รวมถึงเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนบนสื่อ21% ถูกฟ้องเพราะเข้าร่วมการชุมนุม15% ถูกฟ้องเพราะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ10% ถูกฟ้องเพราะปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน9% ถูกฟ้องเพราะยื่นข้อร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่รัฐโดยกลุ่มเหมืองแร่ มีสัดส่วนการฟ้องปิดปากประชาชนมากที่สุด และมักฟ้องชาวบ้าน นักกิจกรรม หรือสื่อ ที่เปิดเผยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือสิทธิในที่ดินของชุมชน ส่วนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ซึ่งมีสัดส่วนเป็นอันดับที่ 2 มักฟ้องผู้ที่ออกมาเปิดโปงเรื่องการใช้ทรัพยากรเกินควร ปัญหามลพิษ หรือสวัสดิภาพสัตว์ และเน้นการฟ้องไปที่ข้อหาหมิ่นประมาทหรือข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ส่วนอันดันที่ 3 กลุ่มธุรกิจพลังงาน (เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้า เขื่อน หรือโครงการพลังงานขนาดใหญ่ที่กระทบชุมชน) มักฟ้องคดีผู้ที่ออกมาคัดค้านหรือเรียกร้องความโปร่งใสในการอนุญาตโครงการการฟ้อง SLAPP ด้วยข้อหาหมิ่นประมาททางอาญาในไทยเริ่มจากระบบกฎหมายของประเทศไทย มีบทบัญญัติเรื่องการหมิ่นประมาทไว้ทั้งทางแพ่ง (มาตรา 423) และทางอาญา (มาตรา 326-333) โดยในส่วนของประมวลกฎหมายอาญาระบุว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ระบุว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ระบุว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาททั้งนี้ผู้ฟ้องคดีอาจเรียกค่าเสียหายทางแพ่งควบคู่ไปกับการฟ้องคดีอาญาได้อย่างไรก็ดี การใช้ข้อกล่าวหาในลักษณะนี้เพื่อกดดันหรือข่มขู่ผู้ที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เช่น นักกิจกรรม นักข่าว หรือประชาชนทั่วไปที่แสดงความเห็นต่อประเด็นสาธารณะ ถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย และสะท้อนถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างและกลไกการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจะถูกพูดถึงได้ตามหลักการสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลไกป้องกันฟ้องปิดปาก ที่ไม่มีประสิทธิภาพแม้ว่าไทยจะมีกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) นั่นคือ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 ซึ่งให้อำนาจศาล สามารถยกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องโดยมีเจตนาไม่สุจริต หรือเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยได้ แต่ในทางปฏิบัติ กลไกนี้ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะจากข้อมูลพบว่า มาตรา 161/1 ถูกนำมาอ้างราว 32% ของคดีที่เข้าข่ายเป็นคดีฟ้องปิดปาก แต่ยังไม่ปรากฏว่า มีคดีใดที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องตามบทบัญญัตินี้เลยแม้แต่คดีเดียวหนึ่งในสาเหตุหลักคือ มาตราดังกล่าวยังขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน และไม่มีขั้นตอนหรือหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการพิจารณาว่า คดีใดเข้าข่ายที่ควรยกฟ้องตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ศาลมักเลือกให้คดีเข้าสู่กระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง แทนที่จะยุติเรื่องในขั้นตอนเบื้องต้นช่องโหว่สำคัญอีกประการคือ ช่องทางที่ผู้มีอำนาจหรือเอกชน สามารถหลีกเลี่ยงการถูกใช้มาตรา 161/1 ได้ โดยการยื่นคำร้องผ่านพนักงานอัยการ และขอเข้าเป็น ‘โจทก์ร่วม’ ในคดีอาญา ซึ่งถือเป็นช่องทางที่เปิดให้ผู้มีอำนาจ เช่น นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ หรือภาคธุรกิจ สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมในการข่มขู่หรือกดดันผู้ที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองหรือสิทธิเพื่อประโยชน์สาธารณะ คดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) ที่เข้าสู่กระบวนการผ่านพนักงานอัยการจึงเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากมาตรา 161/1 ไม่สามารถใช้ได้กับกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ร่วม ทำให้ไม่สามารถยับยั้งคดีเหล่านี้ได้ในขั้นต้น ขณะเดียวกัน กลไกการไต่สวนมูลฟ้อง โดยพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ภายใต้อำนาจทั่วไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (มาตรา 141-143) ซึ่งให้อำนาจในการสั่งไม่ฟ้องในคดีที่ไม่มีมูล ก็ยังขาดความชัดเจนและประสิทธิภาพอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คดีมีลักษณะเป็น SLAPP ก็ยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือข้อบังคับเฉพาะที่กำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินและตัดสินใจไม่ฟ้องได้อย่างมั่นใจนอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมยังมีความกังวลว่า หากมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีลักษณะนี้ อาจต้องเผชิญกับการฟ้องกลับจากผู้ยื่นฟ้อง SLAPP ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้ดุลพินิจเพื่อยุติการดำเนินคดีที่ไม่ชอบธรรมสถานการณ์เช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดทำกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการป้องกันและยับยั้งการฟ้องร้องในลักษณะ SLAPP รวมถึงการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมให้สามารถปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลหรือการฟ้องร้องตอบโต้จากฝ่ายที่มีอำนาจนอกจากนี้ จากสถิติ 36 คดีฟ้องปิดปากในช่วงปี 2562-2566 พบว่า ไม่มีสักคดีเดียวที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และทุกคดีที่มีการยื่นคำร้องตามมาตรา 161/1 ถูกศาลยกคำร้อง หรือไม่รับไว้พิจารณา ดังนี้22 คดี (61%) ยื่นคำร้องตามมาตรา 161/1 หรือ 165/2 เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าคดีเป็นการฟ้องโดยไม่สุจริต แต่ไม่มีคดีใดที่ศาลใช้มาตรา 161/1 ในการยกฟ้อง27% ของคดีที่ยื่นคำร้องตามมาตรา 165/2 มีผลให้โจทก์ถอนฟ้องหรือศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องกล่าวได้ว่า ทุกคดีที่ถูกฟ้องปิดปาก จำเลยมีความพยายามอ้างมาตรากฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิในการแสดงออกโดยสุจริต (มาตรา 161/1 หรือ 165/2) แต่ในทางปฏิบัติ ศาลยังไม่ยอมรับหรือใช้มาตราเหล่านี้อย่างจริงจังในการยกฟ้องคดี SLAPP ส่งผลให้จำเลยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็นลักษณะของ ‘กลุ่มธุรกิจ’ ที่ชอบฟ้องปิดปากจากข้อมูลพบว่า กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มในการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปิดปากประชาชน โดยอ้างสิทธิทางกฎหมายเพื่อกดดันหรือข่มขู่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือปกป้องประโยชน์สาธารณะ ได้แก่กลุ่มเหมืองแร่ (34%)อุตสาหกรรมปศุสัตว์ (21%)กลุ่มพลังงาน (14%)อื่นๆ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการรัฐ-เอกชน หรือกิจการที่ไม่ระบุชัดเจนแต่มีอำนาจต่อรองสูง (13%)อุตสาหกรรมเหล็ก (5%)อุตสาหกรรมอาหาร (5%)โทรคมนาคม (3%)อุตสาหกรรมประมง (3%)ธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ (2%)โดยกลุ่มเหมืองแร่ มีสัดส่วนการฟ้องปิดปากประชาชนมากที่สุด และมักฟ้องชาวบ้าน นักกิจกรรม หรือสื่อ ที่เปิดเผยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือสิทธิในที่ดินของชุมชนส่วนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ซึ่งมีสัดส่วนเป็นอันดับที่ 2 มักฟ้องผู้ที่ออกมาเปิดโปงเรื่องการใช้ทรัพยากรเกินควร ปัญหามลพิษ หรือสวัสดิภาพสัตว์ และเน้นการฟ้องไปที่ข้อหาหมิ่นประมาทหรือข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ส่วนอันดับที่ 3 กลุ่มธุรกิจพลังงาน (เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้า เขื่อน หรือโครงการพลังงานขนาดใหญ่ที่กระทบชุมชน) มักฟ้องคดีผู้ที่ออกมาคัดค้านหรือเรียกร้องความโปร่งใสในการอนุญาตโครงการบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การฟ้องร้องเพื่อปิดปากผู้แสดงความเห็นมักมีลักษณะคือธุรกิจทรัพยากรและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มักฟ้องประชาชนในพื้นที่ นักวิชาการ นักปกป้องสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน และนักการเมืองฝ่ายค้านที่เปิดเผยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือสิทธิชุมชน ใช้ข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 หรือ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์จากการโพสต์หรือวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์หน่วยงานภาครัฐ ตำรวจ ที่ใช้ข้อกล่าวหาในฐานความผิดด้านการระงับการชุมนุมประท้วง ที่ชุมชน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม องค์กรภาคประชาสังคม ออกไปใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วง เช่น ฐานความผิด พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ 2558 พ.ร.บ. กีดขวางการจราจร พ.ร.บ. เครื่องเสียง หรือแม้แต่ข้อหายุยงปลุกปั่น และข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีการควบรวมกับภาครัฐ มีลักษณะการฟ้องร้องนักข่าว สื่ออิสระ สื่อท้องถิ่น นักวิชาการ นักปกป้องสิทธิ และองค์กรที่ทำงานเพื่อความเป็นธรรมทางด้านสภาพภูมิอากาศ ที่เปิดโปงความไม่โปร่งใสหรือผลประโยชน์ทับซ้อน มักใช้ข้อกล่าวหาตามมาตรา 14 (1) พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ฯ, มาตรา 326 / 328 ประมวลกฎหมายอาญา เช่น คดีที่การไฟฟ้าแห่งประเทศไทยได้ฟ้องร้องนักกิจกรรมตัวอย่างการฟ้องร้องคดีปิดปากเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราลองมาดูตัวอย่างคดีที่เข้าข่ายการ ‘ฟ้องปิดปาก’ ดังนี้CPF ฟ้อง BIOTHAI ในคดีปลาหมอคางดำ เรียกค่าเสียหายกว่า 50 ล้านบาทคดีคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินกรณีเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ทำกิจกรรมเดินเท้า 4 วัน เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะและยื่นหนังสือต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560แต่ก่อนหน้านั้น 1 วัน เจ้าหน้าที่ได้เข้าสลายการชุมนุมและจับกุมตัวชาวบ้าน 16 คน ที่ร่วมในกิจกรรม หนึ่งในนั้นมีเยาวชนอายุ 16 ปี และแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะฯ พ.ร.บ. จราจรฯ และข้อหาพกพาอาวุธและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาเหตุการณ์ครั้งนี้ มีชาวบ้าน 17 คน ถูกดำเนินคดีในหลายข้อหา อาทิ พ.ร.บ. ทางหลวงฯ มาตรา 38, พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 108, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 และ 371 และ พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ 2558คดีรังสิมันต์ โรม ถูกยื่นฟ้องในข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณารังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ณ ขณะนั้น ถูกยื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา สืบเนื่องจากการที่รังสิมันต์อภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีดาวเทียมไทยคม เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564 โดยถูกฟ้องใน 3 คดีด้วยกันคือคดีอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ฟ้องพรรคก้าวไกล ในฐานะที่เผยแพร่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564 คดีอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ฟ้องรังสิมันต์ ในฐานะผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจชัยวุฒิ ในสภาผู้แทนราษฎร และนำไปเผยแพร่ต่อ คดีแพ่ง เป็นการฟ้องละเมิด เรียกค่าเสียหายมูลค่า 100 ล้านบาทจากรังสิมันต์กฟผ. ฟ้องนักวิชาการนักเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินประสิทธิ์ชัย นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว วิจารณ์โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ และการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขาถูกดำเนินคดีจากการโพสต์สองครั้ง คือ โพสต์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2559 และวันที่ 13 มกราคม 2560กฟผ. เป็นผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อประสิทธิ์ชัยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326/328โรงงานน้ำตาลฟ้องหมิ่นประมาทกลุ่มรักษ์น้ำอูน 11 พฤศจิกายนและ 16 ธันวาคม 2559 ชาวบ้านกลุ่มรักษ์น้ำอูนเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนตำบลอุ่มจาน ขอให้ระงับการดำเนินการบุกเบิกพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการโรงงานน้ำตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทางสาธารณะและลำรางสาธารณะต่อมาบริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด ผู้เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลเป็นผู้ยื่นฟ้องสมาชิกกลุ่มรักษ์น้ำอูนรวม 21 คนในข้อหาใส่ความอันเป็นเท็จโดยการโฆษณาต่อบุคคลอื่นที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ดูหมิ่น เกลียดชัง คดีนี้ทั้งสองฝ่ายมีนัดไกล่เกลี่ยแต่ตกลงกันไม่ได้ ท้ายที่สุดก่อนเริ่มการไต่สวนมูลฟ้อง บริษัทโจทก์ตัดสินใจยื่นขอถอนฟ้องเพื่อความสมานฉันท์บริษัททุ่งคำฟ้องนักข่าวเยาวชนและไทยพีบีเอส กรณีสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ThaiPBS) เผยแพร่รายการนักข่าวพลเมือง ตอน ค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการทำเหมืองแร่ทองคำในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย บริษัท ทุ่งคำ เจ้าของประทานบัตรเหมืองแร่ แจ้งความดำเนินคดีกับวันเพ็ญ หรือพลอย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ปรากฏเสียงอยู่ในรายการ ที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี และยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ขณะเดียวกันก็ยื่นฟ้องสถานีไทยพีบีเอส นักข่าว และผู้บริหารสถานี ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯคดีของเยาวชน สถานพินิจและคุ้มครองเด็กมีคำสั่ง ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการดำเนินคดี ส่วนคดีของสถานีไทยพีบีเอส เบื้องต้นศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่ง ‘ไม่รับฟ้อง’ แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์สั่งแก้ไขให้รับฟ้องไว้พิจารณาในชั้นศาลฝ่ายโจทก์และผู้บริหารสถานีไทยพีบีเอส เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย โดยสถานียินดีทำสกู๊ปข่าวเผยแพร่ข้อเท็จจริงจากฝั่งโจทก์และขึ้นข้อความตัววิ่งช่วงข่าวเที่ยง การไกล่เกลี่ยใช้เวลาถึง 6 นัด ก่อนฝ่ายโจทก์จะยอมถอนฟ้องในที่สุดรังสิมันต์ โรม ถูก สว.อุปกิตฟ้องหมิ่น เรียก 100 ล้าน กุมภาพันธ์ 2566 รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ขณะนั้น กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาระหว่างการอภิปรายทั่วไปในสภา อ้างว่าอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เป็นคู่ค้าทางธุรกิจกับ ตุน มิน หลัด นักธุรกิจชาวเมียนมาร์ ซึ่งถูกจับกุมในเดือนกันยายน 2565 ในข้อหาค้ายาเสพติดและฟอกเงินอุปกิตตอบโต้ด้วยการยื่นฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งฐานหมิ่นประมาท และเรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาทในการไต่สวนมูลฟ้องเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเนื่องจากคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ราษฎรยื่นฟ้องคดีโดยตรงต่อศาล ศาลได้วินิจฉัยว่าแม้การเปิดเผยคลิปวิดีโอจากการอภิปรายในรัฐสภา เป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามเอกสิทธิ์ของรัฐสภา แต่นายรังสิมันต์ได้เผยแพร่คลิปดังกล่าวบนบัญชีออนไลน์ส่วนตัวของตนด้วย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาได้ ศาลเห็นว่าคดีมีมูลจึงรับฟ้องไว้พิจารณา และได้กำหนดวันนัดพิจารณาคดีในเดือนสิงหาคม 2566หลายเดือนหลังจากยื่นฟ้องคดีนี้ อุปกิตถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในหลายข้อหาที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าการมีส่วนร่วมในการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่น่าสังเกตคือ คดีที่ฟ้องรังสิมันต์ เป็น 1 ใน 4 คดีหมิ่นประมาททางอาญาที่อุปกิตยื่นฟ้องในปี 2566 ต่อนักการเมืองฝ่ายค้าน นักกิจกรรม และสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือรายงานเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของเขาผลกระทบจากการถูกฟ้องปิดปาก “การต้องไปศาลประมาณเดือนละครั้ง เกิดค่าใช้จ่ายและเสียเวลา เพราะใช้เวลาในศาลเกือบปี” นี่คือการให้สัมภาษณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนระหว่างการทำรายงานการศึกษาเรื่องการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดย UNDP หลายคนอาจสงสัยว่า ‘การฟ้องร้องในลักษณะข้างต้นเรียกว่า ‘ฟ้องปิดปาก’ อย่างไร เพราะหากไม่ผิดก็สู้คดีไปสิ แล้วก็ฟ้องเรียกเงินกลับเลย’ ต้องเข้าใจก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วผู้ฟ้องหรือบริษัทที่ฟ้อง ไม่ได้ต้องการชนะคดี เพราะจากข้อมูลพบว่า การฟ้องปิดปากส่วนใหญ่แล้วศาลยกฟ้องในที่สุด แต่เป้าหมายสำคัญของผู้ฟ้องคดี คือการทำให้จำเลยต้องเหนื่อยกับกระบวนการสู้คดี สิ้นเปลืองทั้งเวลา และเงิน รวมถึงทำให้ประชาชนไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ และประเด็นที่เป็นผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับตัวเอง เนื่องจาก ‘กลัวถูกฟ้อง’ หลายครั้งเราจึงพบว่า แม้จำเลยจะชนะคดีก็จริง แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือความรู้สึกรำคาญใจ ความกลัว ความสิ้นหวัง และความโกรธ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเวลา พลังงาน และเงินทองที่ต้องสูญเสียไปเพื่อต่อสู้คดี และหลายครั้ง บริษัทก็มักใช้แทคติกไปฟ้องศาลข้ามจังหวัดหรือข้ามภูมิภาคลองนึกภาพว่า หากเราต้องเดินทางจากสงขลาเพื่อไปสู้คดีในศาลเชียงใหม่ แค่เดินทางก็เหนื่อยและเสียอะไรต่อมิอะไรมากแล้ว อีกทั้งบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาในการเสียเงินจ้างทนายหรือส่งตัวแทนไปขึ้นศาลอยู่แล้วแต่ในทางกลับกัน ผู้ถูกฟ้องซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา เช่น ชาวบ้าน นักข่าว นักวิชาการ นักกิจกรรม ฯลฯ คนกลุ่มนี้จะมีทรัพยากรอะไรไปต่อกรกับกระบวนการเหล่านี้ นี่คือปัญหาใหญ่ที่แม้มีการออกกฎหมายมาเพื่อป้องกันการฟ้องในลักษณะดังกล่าว แต่ในทางปฏิบัติ กฎหมายเหล่านั้นกลับไม่เคยถูกนำมาใช้เพื่อยุติปัญหา นั่นแปลว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ยังคงถูกละเมิดจนถึงทุกวันนี้