ผอ.โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จ.ชัยภูมิ เมาแล้วขับ ซิ่งไต่ฟุตบาทชนนักข่าว “ธนกฤต” ชี้สั่งย้ายด่วนช่วยราชการจังหวัด เผยเห็นคลิปแล้วเป็นไปตามผลตรวจวัดแอลกอฮอล์เกินกว่ากำหนด พร้อมตรวจสอบใช้รถติดโลโก้นอกเวลาราชการ เตรียมสั่งฟันผิดวินัยร้ายแรง

เวลา 22.16 น. วันที่ 30 เม.ย. 68 กรณีผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิ ขับรถยนต์ยี่ห้อฟอร์จูเนอร์ เขียนข้างรถ "กระทรวงสาธารณสุข" ขณะมีอาการมึนเมา ก่อนพุ่งเข้าชนร้านอาหารจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย คือ นายเอส เอี่ยมพา อายุ 33 ปี และ นายทศวรรษ อินพุก อายุ 35 ปี บาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่เร่งปฐมพยาบาลก่อนให้การช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลชัยภูมิ
ตำรวจเชิญคนขับรถคนดังกล่าวมาทำการสอบสวนและทำการเป่าแอลกอฮอล์ แต่ทางเจ้าตัวยังไม่ทันเป่าก็เดินหาน้ำ ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ และดื่มนมเปรี้ยว 2 ขวดจากเพื่อนตลอดเวลา กระทั่งเวลา 01.10 น.

ตำรวจได้นำเครื่องเป่าวัดแอลกอฮอล์เครื่องที่ 2 ให้ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนดังกล่าว หลังจากเครื่องเป่าเครื่องแรกที่นำมาเกิดชำรุดเป่าไม่ได้ ผลของการเป่าวัดแอลกอฮอล์ได้ปริมาณ 119 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่เครื่องเป่าแอลกอฮอล์วันที่เดือนและเวลากลับไม่ตรงตามวันเวลาที่เป่าจริง ทางพนักงานสอบสวนจึงเชิญตัวไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลชัยภูมิอีกครั้ง และพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

...

ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง นายกองตรี ดร. ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ประจำรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ท่านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการด่วนให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ขับรถชนนักข่าว และมีลักษณะเหมือนมีอาการมึนเมา ส่วนเรื่องคดีความให้ทางตำรวจดำเนินคดีไปตามปกติ ด้านการดูแลผู้ป่วยก็กำชับว่าให้ดูแลให้ดีที่สุด ซึ่งหลังจากรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้มาคุยเพื่อเจรจาเยียวยาผู้บาดเจ็บอีกครั้ง

“เรื่องของคุณหมอที่ขับรถชนนักข่าว ส่วนตัวยังไม่ได้คุย แต่ได้ให้ผู้ตรวจราชการประจำกระทรวงฯ ลงไปในพื้นที่ เพื่อทำการตรวจสอบร่วมกับทางสาธารณสุขจังหวัด ส่วนผู้บาดเจ็บทั้งสองรายตอนนี้ได้พ้นขีดอันตรายแล้ว”

ด้านรถที่ชนนักข่าวมีโลโก้ของกระทรวงสาธารณสุขติดข้างรถ ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นรถของใคร ถ้ามีการตรวจสอบว่าเป็นรถของหลวงเอาไปใช้นอกราชการก็จะมีความผิดทางวินัยร้ายแรง

จากเท่าที่ดูคลิปในจุดเกิดเหตุพบว่า หมอผู้ที่ขับรถมีอาการสอดคล้องจากการวัดแอลกอฮอล์ได้ปริมาณ 119 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพราะกฎหมายบังคับไว้ไม่ให้เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีความผิดในการขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และต้องมาดูว่าหากคนเจ็บต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน ผู้ก่อเหตุจะมีความผิดทำให้บาดเจ็บสาหัส

ในการลงโทษทางวินัย ตอนนี้มีการสั่งการให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดังกล่าวมาช่วยราชการที่สาธารณสุขจังหวัดก่อนในเบื้องต้น หากมีการสอบสวนเพิ่มเติมอาจมีการลงโทษเพิ่มเติมหลังจากนี้