ประเทศไทย มีบทลงโทษผู้หญิงในความผิดฐาน ‘ทำให้แท้งลูก’ มาตั้งแต่ปี 2499 โดยระบุในมาตรา 301 ว่า ‘หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ’เราใช้กฎหมายฉบับนี้มา 64 ปี จนกระทั่งปี 2564 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 ในมาตรา 301 ใจความว่า ‘หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ มีความผิด จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ’นอกจากนี้ในมาตรา 35 ยังมีการแก้ไขเงื่อนไขการทำแท้ง ระบุว่า การทำแท้งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้ เสี่ยงต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ทารกเสี่ยงออกมามีความพิการร้ายแรง ตั้งครรภ์จากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ยืนยันยุติอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ยืนยันยุติหลังผ่านการรับการปรึกษาทางเลือกโดยผู้ที่ให้คำปรึกษาตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข กล่าวคือ หญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกินกว่า 12 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีความผิดทางอาญา อีกทั้งหญิงที่มีอายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้เช่นกัน แต่ต้องตรวจและรับคำปรึกษาจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นท้องไม่พร้อม ทำแท้ง ใครบ้าง?ปี 2542 ประเทศไทยเคยมีการสำรวจตัวเลขผู้ทำแท้งอย่างเป็นระบบ 1 ครั้ง พบว่ามีจำนวน 300,000 คน ผ่านมา 28 ปี ไทยก็ยังไม่เคยมีตัวเลขสำรวจอย่างเป็นทางการอีกเลย มีเพียงตัวเลขดังนี้ การเบิกจ่ายของ สปสช. ปี 2567 จำนวน 17,352 คน ตัวเลขผู้มาใช้บริการสายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อมปี 2566 จำนวน 36,139 คนตัวเลขของกลุ่มทำทางให้การปรึกษา ช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค. 2566 จำนวน 2,067 คนนอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า หลังมีการแก้กฎหมายในปี 2564 ถึงปี 2568 ในปัจจุบัน มีผู้โทรเข้ามาปรึกษาสายด่วนถึง 183,888 คน อย่างไรก็ดี ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนจำนวนจริงของผู้ที่ทำแท้งในประเทศไทยแต่อย่างใด “ถ้าหากถามคนทำงานในเรื่องจริงๆ เราจะรู้ว่า มันยังมีตัวเลขที่ไม่ถูกนับอีกเยอะมาก ประเทศเราควรมีตัวเลขเหล่านี้ที่ชัดเจนสักที” สุไลพร ชลวิไล ผู้แทนมูลนิธิทำทาง กล่าว ปัจจุบัน ไทยมีสถานพยาบาลยุติตั้งครรภ์เพียง 133 แห่งใน 51 จังหวัด จากโรงพยาบาลทั้งหมด 14,000 กว่าแห่ง คิดเป็นประมาณ 9% เท่านั้น โดยแบ่งเป็นของรัฐ 92 แห่ง และเอกชน 41 แห่ง “ทำไมเราแก้กฎหมายแล้ว แต่ใน 26 จังหวัดไม่มีสถานบริการยุติตั้งครรภ์เลย แปลว่าคนในจังหวัดนั้นๆ ต้องเดินทางไปที่อื่น”ผ่านไป 4 ปีที่กฎหมายทำแท้งแก้ไขแล้ว ทว่าคนก็ยังเข้าไม่ถึงบริการ และเป็นไปได้มากว่า คนยังไม่รู้ว่ากฎหมายแก้แล้ว ไม่รู้ว่า สปสช. สนับสนุนค่าบริการ 3 พันบาท ไม่รู้ว่าสถานบริการส่วนใหญ่ไม่เปิดให้บริการ และไม่รู้ว่าประกันสังคมไม่มีความชัดเจนเรื่องการให้สิทธิเรื่องนี้… สุไลพร ชลวิไล ผู้แทนมูลนิธิทำทาง กล่าวว่า ระบบการออกกฎหมายของประเทศไทย ไม่ได้ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยหลักการสิทธิมนุษยชนสากลก็ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นสิทธิของคนตั้งครรภ์ อค์การอนามัยโลกก็แนะนำว่า ประเทศต่างๆ ควรยกเลิกการลงโทษทางอาญา เพราะการมีบทลงโทษ จะทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์เข้าไม่ถึงบริการอย่างปลอดภัย ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายทำแท้งดังกล่าว ได้เขียนไว้แล้วว่า ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์สามารถทำแท้งได้ ส่วนกรณีไม่เกิน 20 สัปดาห์ ก็สามารถทำแท้งได้แล้วหากได้รับการตรวจและรับคำปรึกษาจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่น เช่นนั้นแล้ว จะเขียนบทลงโทษไว้ทำไม จะคงความผิดในกฎหมายอาญาไว้ทำไม?“ปีหน้าครบ 5 ปีของการบังคับใช้กฎหมาย เราเสนอว่าขอให้ยกเลิกมาตรา 301 เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะคงเอาไว้ในกฎหมายอาญาเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ” สุไลพร ทิ้งท้าย ทำแท้ง ไม่ใช่อาชญากรรม 80 กว่าประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ออกกฎหมายเพิ่มสิทธิให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้20 กว่าประเทศ ยังคงสงวนเงื่อนไขอย่างเคร่งครัดในการทำแท้ง 5 ประเทศ ยังคงห้ามทำแท้งโดยเด็ดขาด แม้การตั้งครรภ์นั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้หญิงก็ตาม ประเทศไทย จัดอยู่กลุ่ม 1 ใน 20 กว่าประเทศที่ยังมีเงื่อนไข และเป็นประเทศที่ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า ‘การทำแท้งเป็นอาชญากรรม’ “มาตรา 301 เป็นมาตราที่ย่ำยีหัวใจผู้หญิงมาก เพราะเป็นมาตราเดียวในประมวลกฎหมายอาญาที่ไม่ใช่คำว่าบุคคล แต่ยังใช้คำว่าผู้หญิงอยู่ “ต้องมองว่าการทำแท้งเป็นบริการสุขภาพ เหมือนปวดฟัน หกล้ม เป็นหวัด มะเร็ง และหากมีการรักษาผิดพลาด ความผิดเหล่านั้นควรอยู่ในขั้นตอนการรักษา ไม่ใช่อยู่ที่ผู้หญิงผู้ที่เป็นคนไข้” สุไลพร กล่าว ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การทำแท้งเป็นประเด็นที่เถียงกันดุเดือดมากและโต้เถียงกันมายาวนาน ยืดเยื้อ เต็มไปด้วยอารมณ์ของสังคมที่ไม่คงที่ ข้อควรระวังคือ การต่อสู้เรื่องการแก้ไขกฎหมายทำแท้งจึงไม่ได้เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอไป แต่อาจถอยหลังด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับอารมณ์สังคมและผู้ครองอำนาจรัฐในช่วงเวลานั้นๆหากเราสำรวจท่าทีขององค์กรสหประชาชาติ (ที่ไทยร่วมเป็นภาคี) ในเรื่องสิทธิการเข้าถึงการทำแท้ง จะพบว่า WHO ได้ออกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการทำแท้งที่ปลอดภัย โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำแท้งที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอันตรายจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยUNFPA สนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการดูแลหลังการทำแท้ง และเน้นย้ำว่า การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและทุพพลภาพของสตรีคณะกรรมการ CEDAW ได้ออกข้อเสนอแนะทั่วไปที่ระบุว่า การจำกัดการเข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกกฎหมายถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่าด้วยเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ในหลายๆ ประเทศดำเนินไปในทิศทางที่ดี ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น และเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมาย โดยให้สิทธิกับพลเมืองเรื่องยุติการตั้งครรภ์“อย่างไรก็ดี เขาดูในแง่การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย แต่ไม่ได้ลงมาดู implementation (การทำให้เกิดผล) เลยได้คะแนนดี” ชลิดาภรณ์ กล่าว ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแบบ ‘ช็อกโลก’ คือ สหรัฐอเมริกา ในปี 2022 การที่ศาลสูงของสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกคำวินิจฉัยคดี Roe v. Wade เป็นคดีสำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 1973 ศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลต่อสิทธิในการทำแท้งของผู้หญิงในสหรัฐฯ ทว่า 24 มิถุนายน 2022 ศาลสูงสหรัฐฯ ได้กลับคำตัดสินในในกรณี Roe v. Wade ในคดีของรัฐมิสซิสซิปปี Dobbs v. Jackson Women's Health Organization หมายความว่า สิทธิในการทำแท้งไม่ได้ถูกคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญระดับประเทศอีกต่อไปการยกเลิก Roe v. Wade ทำให้รัฐแต่ละรัฐมีอำนาจในการออกกฎหมายควบคุมหรือห้ามการทำแท้งได้เอง ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมอเมริกันเกี่ยวกับสิทธิในการทำแท้ง สิทธิของผู้หญิง และบทบาทของรัฐบาลในการควบคุมร่างกายของผู้หญิง ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อผู้หญิงจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา ที่ไม่สามารถเข้าถึงการทำแท้งได้อย่างปลอดภัยในบางรัฐ“เหตุผลสำคัญของเสียงข้างมากในศาลสูงคือ รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ไม่มีตรงไหนเลยในรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทิในการยุติการตั้งครรภ์ จึงยกเลิกคำวินิจฉัยนี้ไป เมื่อฝรั่งเศสเห็นเหตุการณ์นี้ จึงได้ใส่สิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ในรัฐธรรมนูญ.. เผื่อไทยจะลอกการบ้านค่ะ” ชลิดาภรณ์ กล่าว ชลิดาภรณ์ กล่าวว่า กฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ และขณะนี้กฎหมายไทยได้ขยายความสามารถในการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย ขยายเสรีภาพในการเลือกยุติการตั้งครรภ์ แต่ปัญหาขณะนี้อยู่ที่ฝั่งการเข้าถึงบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องคำนึงต่อไป วิเคราะห์กฎหมายทำแท้ง ในมุมสิทธิมนุษยชน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 4 นิยามขอบเขตของ ‘สิทธิมนุษยชน’ ว่า เป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค ของบุคคล บรรดาที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย หรือตามหนังสือสัญญา ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามนั่นหมายความว่า การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของ ‘กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ’ มีขอบเขตมากกว่าที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญของไทย “คำถามคือ ประเทศไทยไปรับรองอะไรไว้บ้าง กฎหมายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมี 9 ฉบับ เราเป็นภาคีแล้ว 8 ฉบับ ยกเว้นอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและสมาชิกในครอบครัว 1990” สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว หน้าที่ของรัฐด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ ได้ระบุหน้าที่ของรัฐไว้ 3 ข้อ คือ รัฐต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชน ไม่กระทำการใดๆ ที่ขัดขวางหรือทำให้คนไม่ได้รับสิทธิที่เขาได้รับการคุ้มครอง รัฐต้องปกป้อง ไม่ให้องค์กร หน่วยงาน หรือบุคคลที่สามดำเนินนโยบายหรือกิจกรรมใดๆ ที่จะขัดขวางหรือทำให้คนไม่ได้รับสิทธิที่เขาได้รับการรับรอง รัฐต้องทำให้เป็นจริง ดำเนินนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพื่อจัดการให้คนทุกคนมีโอกาสได้รับสิทธิที่พวกเขาได้รับการรับรอง สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า อนามัยเจริญพันธุ์ที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เป็นคุณสมบัติทางกายภาพเฉพาะของผู้หญิงโดยแท้ โดยอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ข้อ 12 (1) ระบุชัดว่า ผู้หญิงต้องสามารถเข้าถึงบริการเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวบนพื้นฐานของความเสมอภาคเทียบเท่าผู้ชาย ซึ่งควรรวมถึงการตัดสินใจเรื่องการตั้งครรภ์นอกจากนี้ ความเห็นของคณะกรรมการประจำ ICC ซึ่งเป็นกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม เมื่อปี 2016 ได้กล่าวไว้ว่า สิทธิในสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์เกี่ยวโยงอย่างแยกไม่ขาดจากสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตและสุขภาพของผู้หญิง การมีกฎหมายที่เข้มงวดในการควบคุมการยุติการตั้งครรภ์หรือทำให้การตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถือเป็นการสร้างข้อจำกัดต่อผู้หญิงบนฐานของการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ“ตอนที่ดิฉันอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งวางแนวว่า สิทธิในการทำแท้งเป็นสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและการตัดสินใจของผู้หญิง แต่แล้วทำไมยังจะมีเงื่อนไขที่ทำให้ผิดกฎหมายในมาตรา 301 ดิฉันก็แปลกใจ”สุภัทรา ยังหยิบยกความเห็นของผู้รายงานพิเศษ (ว่าด้วยการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี) ที่กล่าวว่า การมีข้อจำกัดในการยุติการตั้งครรภ์อย่างเข้มงวดในกรณีที่มารดาถูกข่มขืน ทารกมีความเสี่ยงต่อความพิการ หรือการตั้งครรภ์ที่อาจเสี่ยงต่อร่างกายและชีวิตของมารดา ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้หญิงที่จะไม่ถูกทรมานหรือถูกปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม“ชัดเจนว่า ในกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน มีหลักการว่า ต้องไม่ทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรม ไม่เป็นความผิดทางอาญา ต้องไม่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย” สุภัทรา กล่าวถึงหน้าที่ของรัฐในการประกันการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย ดังนี้เคารพและคุ้มครองสิทธิของผู้หญิงและเด็ก ในการเข้าถึงการบริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์ยกเลิกความผิดทางอาญาต่อผู้ยุติการตั้งครรภ์ และผู้สนับสนุน ประกันว่าบริการสุขภาพที่เกี่ยวข้องจะมีความปลอดภัย บนฐานการยินยอมและการยอมรับได้ของผู้หญิง เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการในกรณีถูกปฏิเสธการให้บริการจากบุคลากรทางการแพทย์ด้วยเหตุผลทางศีลธรรม รัฐควรจัดสรรช่องทางอื่นๆ ให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงบริการ หรือมีการส่งต่อไปยังสถานบริการอื่นที่ให้บริการได้ อ้างอิง:สถานที่ทำแท้งถูกกฎหมายในประเทศไทย Thai Legal Abortion providersศาลสูงสหรัฐฯวินิจฉัยคว่ำคำตัดสินที่เคยคุ้มครอง 'สิทธิ์การทำแท้ง' Live : การยุติการตั้งครรภ์เป็นสิทธิ ไม่ควรผิดกฎหมาย