นับถอยหลัง สงคราม "ยูเครน-รัสเซีย" วัดพลังอาวุธหนัก เมื่อสหรัฐถอนการสนับสนุน "นักวิชาการ" ประเมินที่มั่นสุดท้ายยูเครน ฝั่งท่าเรือทะเลตะวันตกเฉียงใต้-ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธ
กลายเป็นการโต้คารมดุเดือดระหว่าง "โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี" ประธานาธิบดียูเครน กับ ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ของสหรัฐอเมริกา หลังพบกันที่ทำเนียบขาว เพื่อเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุ แต่จบลงด้วยการเจรจาล่ม ส่งผลสะเทือนให้กับยูเครน ขณะที่รัสเซียออกมาชื่นชมผู้นำสหรัฐอย่างชัดเจนมากขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวหลังประชุมร่วมกับผู้นำชาติยุโรป เปิดแผน 4 ขั้น มีเป้าหมายเพื่อรับประกันสันติภาพในยูเครน แต่นั่นเป็นเพียงความหวัง ท่ามกลางหมอกควันสงคราม
"ดร.รมย์ ภิรมนตรี" ผู้อำนวยการศูนย์รัสเซียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า สงครามยูเครน-รัสเซีย ถ้าชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกา ถอนกำลังไม่สนับสนุน ยูเครนก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของรัสเซียได้ ขณะที่กำลังของอาวุธฝ่ายนาโต ฝั่งยุโรป ถือว่ามีอานุภาพรุนแรงน้อยกว่าฝั่งรัสเซียที่มีอยู่
...
ถ้าอเมริกาถอนตัว สงครามยูเครนมีทีท่าจบลง เพราะฝั่งยุโรปไม่สามารถช่วยยูเครนได้ เห็นได้จากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ต่างย่ำแย่ ไม่มีการพัฒนาด้านอาวุธในการทำสงคราม ต่างจากรัสเซียที่มีการพัฒนาอาวุธใช้ในการรบมาตลอด ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไม่รักษาคำพูดในเรื่องการขยายนาโต โดย "ปูติน" มีการสั่งสมอาวุธมาเรื่อยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000
“ถ้าใครติดตามการพัฒนาอาวุธของรัสเซีย จะเห็นว่ามีการลงงบประมาณส่วนนี้ค่อนข้างมาก เพียงแต่ว่ายูเครนเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน ไม่ต้องการความรุนแรง และไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้กับประชาชน จะเห็นได้จากที่รัสเซียโจมตีที มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนน้อย เพราะรัสเซียไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้กับพลเรือน ลองคิดดูว่า ถ้าปูตินสั่งโจมตีอย่างเด็ดขาด ป่านนี้สงครามจบไปนานแล้ว”
เป้าหมายสำคัญของรัสเซียไม่ได้มีความต้องการยึดครองยูเครน แต่ต้องการดูแลบางรัฐที่มีคนรัสเซียอาศัยอยู่ กลุ่มคนรัสเซียเหล่านี้ก็มีการร้องขอมาตั้งแต่แรก เพราะคนรัสเซียถูกกดดันจากยูเครน ไม่ให้ใช้ภาษารัสเซีย
ทางออกของโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ตอนนี้แทบไม่มีทางเลือก นอกจากลี้ภัย และหนีออกจากยูเครน ซึ่งเขาก็มีบ้านอยู่ที่ฝรั่งเศสกับอังกฤษ อยู่ที่ว่าจะเลือกไปอยู่ที่ไหน
พื้นที่สุดท้ายของผู้นำยูเครน
ดร.อดุลย์ กำไลทอง นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย มองว่า ภาพประธานาธิบดีอเมริกา ที่ไม่ตอบรับกับท่าทีของผู้นำยูเครน แสดงให้เห็นว่า สงครามที่มีมายาวนานใกล้จบแล้ว เพราะสหรัฐอเมริกา เป็นตัวแปรหลักที่ชี้ชะตาในสงครามครั้งนี้ โดยสิ่งที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" พูดกับ "โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี" ที่ทำเนียบขาวว่า ถ้าสงครามนี้ไม่มีสหรัฐ ก็จบไปตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรก หลังมีการเปิดศึก
ถ้าประเมินกำลังของอาวุธสงครามที่สหรัฐสนับสนุนยูเครน ปัจจัยสำคัญคือ อาวุธทางอากาศ เช่น ขีปนาวุธ โดรนสงคราม และที่สำคัญสุดคือ ระบบสกัดกั้นขีปนาวุธ ถ้ามีการถอนออกจากยูเครน ยิ่งทำให้ใกล้ความพ่ายแพ้เข้าไปทุกที เนื่องจากไม่มีระบบที่ต่อต้านกับอาวุธหนักของรัสเซียได้
การนับถอยหลังความพ่ายแพ้ของยูเครน ขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปรคือ 1. "ทรัมป์" เป็นผู้ที่เลือกได้ว่าจะให้มีระยะเวลานานอีกแค่ไหน 2.รัสเซีย ในสถานการณ์นี้ก็กำลังคิดว่าทำอย่างไร ที่จะโจมตียูเครนให้พ่ายแพ้เร็วมากขึ้น หรือใช้ความรุนแรงมากขึ้น เพื่อให้เป็นทางลงของสงครามนี้
...
“จุดสิ้นสุดสงครามนี้ จะถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ ในการเปลี่ยนแปลงของการเมืองโลก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีปรากฏการณ์ที่สหรัฐกับรัสเซีย จะอยู่ฝั่งเดียวกัน ถือเป็นบทเรียนใหม่ที่ประชาคมโลกก็งงว่า ชาติมหาอำนาจในเวทีโลกจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้”
จุดยุทธศาสตร์สำคัญของยูเครน ถ้ารัสเซีย เริ่มบดขยี้ฝั่งทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครน ถ้ารัสเซียยึดได้ ทำให้ยูเครน เป็นอัมพาตกันทั้งประเทศ โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือโอเดสซา ถือเป็นฐานทัพเรือที่มั่นสุดท้าย ถ้าหากสูญเสียพื้นที่ตรงนี้ไปอีก จะเหมือนกับประเทศตาบอด ที่ไม่มีทางออกทะเล ทำให้ศักยภาพของยูเครนลดลง จนแทบต่อกรกับรัสเซียไม่ได้
สำหรับไทย แม้อยู่ห่างไกลจากสงครามยูเครน รัสเซีย แต่อาจมีผลกระทบในเรื่องพลังงาน ถ้าสงครามสงบลง การแซงชั่นด้านพลังงานของรัสเซียจะยุติลง ทำให้ต้นทุนพลังงานถูกลง แต่ในแง่ของการลงทุน คนยูเครน และรัสเซียก็จะมาลงทุนมากขึ้น เพราะไทยเป็นเหมือนสถานที่หลบภัยของคนทั้งสองประเทศ
เหตุการณ์สงครามนี้สะท้อนว่า ประเทศขนาดเล็กไม่ควรไว้ใจชาติมหาอำนาจมาก สุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าชาติมหาอำนาจเปลี่ยนท่าทีเหมือนสหรัฐอย่างที่ยูเครน กำลังเผชิญอยู่หรือไม่.
...