"เก๋งหัวร้อน" ขับรถพุ่งชนไรเดอร์ เสียชีวิต ฆาตกรรมบนท้องถนนเกิดขึ้นบ่อยใน กทม. เครือข่ายลดอุบัติเหตุ มองมาจากความเร่งรีบ แข่งกับเวลา จนเกิดความเคยชิน หัวร้อนเป็นเรื่องปกติ ชี้ตัดแต้ม-ยึดใบขับขี่ ปฏิบัติจริงไม่ได้ผล เน้นจับปรับเป็นหลัก

เก๋งหัวร้อนพุ่งชนไรเดอร์เสียชีวิต เหตุสะเทือนขวัญ เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 68 จุดเริ่มต้นเหตุการณ์ จากทั้งคู่มีปากเสียงกันบนท้องถนนก่อนหน้านั้น โดยทั้งสองฝ่ายขับรถไล่กันมาตั้งแต่แยกอโศกมนตรี แล้วมาจอดทะเลาะวิวาทหน้าปากซอยสุขุมวิท 10 จากนั้นผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์มาจอดขวางรถของผู้ต้องหาแล้วมีปากเสียง ผู้ต้องหาได้ขับรถเฉี่ยวรถของผู้เสียชีวิต

ก่อนทางผู้เสียชีวิตได้ทุบกระจกรถของผู้ต้องหา ทำให้ผู้ต้องหาลงมาจากรถแล้วทุบทำร้ายร่างกายผู้เสียชีวิตกับถีบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิต จากนั้นผู้เสียชีวิตได้ขี่รถจักรยานยนต์หนี แต่ผู้ต้องหาขับรถตาม ก่อนพุ่งชนรถของผู้เสียชีวิต ทำให้ร่างกระแทกกับเสาข้างทาง

ขณะนี้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อหา แก่ผู้ขับรถเก๋ง ได้แก่ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและไม่ให้การใด ๆ ในชั้นพนักงานสอบสวน อ้างว่าขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น ล่าสุดผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว แต่มีข้อห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

จากเรื่องเล็กกลายเป็นเหตุใหญ่ถึงขั้น "ฆาตกรรมบนท้องถนน" พรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) มองว่า เหตุที่เกิดจากการทะเลาะวิวาทบนท้องถนน มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเวลาขับรถหลายคนแทบไม่ยอมกัน โดยปัญหาบนท้องถนนที่เกิดทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถเร็ว กลายเป็นพฤติกรรมหัวร้อนในการขับขี่ เช่น การแซงแบบตัดหน้า ประกอบกับปัจจุบันมีธุรกิจ เช่น ไรเดอร์ ที่ต้องขับรถแข่งกับเวลา เลยทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และหลายกรณีมีอาการหัวร้อนรุนแรง

...

โดยพื้นที่มักเกิดเหตุหัวร้อนบนท้องถนนคือ กรุงเทพฯ เนื่องจากมีปริมาณรถหนาแน่น ประกอบกับพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนน กทม. กลายเป็นพฤติกรรมปกติ เช่น มอเตอร์ไซค์ขับรถปาดหน้ารถยนต์ทันที บางครั้งเหตุกระทบกระทั่ง เพราะรถยนต์มองไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่แซงมา จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ และมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น

เหตุรุนแรงส่วนใหญ่ มักเกิดกับรถมอเตอร์ไซค์กับรถยนต์ โดยเฉพาะผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่อารมณ์ร้อนพร้อมบวกถ้าเกิดไม่พอใจกัน แต่ที่น่าห่วงคือ กลุ่มที่มีการพกอาวุธไว้ในรถ เช่น มีดมีโอกาสไปก่อเหตุรุนแรงค่อนข้างมาก

ระบบตัดแต้มคุมนักขับหัวร้อนไม่ได้ผล

"พรหมมินทร์" เล่าว่า กรณีเกิดขึ้นในการที่คนขับรถเก๋งทะเลาะกันจนหัวร้อนแล้วขับรถพุ่งชนไรเดอร์ ส่วนหนึ่งเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบที่มีการยั่วยุกันก่อนหน้า คนขับรถเก๋งเองคงคาดไม่ถึงว่าก่อเหตุจนถึงตาย เพราะลักษณะไม่ได้เป็นการเตรียมตัวมาก่อนในการก่อเหตุ

หากมองถึงกฎจราจรในการควบคุมการก่อเหตุรุนแรงในกลุ่มคนขับขี่หัวร้อน ที่ผ่านมามีกฎหมายป้องกันไว้เกือบหมด ตั้งแต่การขับมอเตอร์ไซค์ และมารยาทในการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งในไทยการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ทำให้เกิดความเกรงกลัว โดยที่ผ่านมาเราบังคับใช้กฎหมายแบบตามแก้ปัญหามากกว่าควบคุมปัญหา เช่น กฎหมายควบคุมการขับรถที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น สามารถยึดของกลางอย่างรถได้ทันที แต่ที่ผ่านมาเจ้าพนักงานได้แต่เขียนใบสั่งหรือเรียกเก็บค่าปรับ กฎจราจรมีการตัดแต้ม ยึดใบขับขี่ชั่วคราวและถาวร

แต่ปัญหาคือ การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นระบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติในการดำเนินการตัดแต้มผู้ขับขี่ที่ไม่เหมาะสม เมื่อตำรวจทำการเขียนใบสั่งแล้ว ต้องมานั่งคีย์ข้อมูลเพื่อส่งพฤติกรรมการกระทำผิดไปยังกรมขนส่ง เพื่อให้พิจารณาในการตัดแต้ม เนื่องจากใบขับขี่เป็นเรื่องของกรมขนส่ง

“ระบบการตัดแต้มผู้ที่ขับขี่ที่ไม่เหมาะสม ยังเป็นระบบที่ไม่เรียลไทม์ เพราะตำรวจต้องมาดูใบสั่งที่ปรับไปจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่บางนายมีการแอบรับเงิน โดยไม่ได้เขียนใบสั่ง เลยทำให้ระบบตัดแต้มการขับขี่ไม่เป็นระบบเดียวกัน ทำให้มาตรการในการป้องกันควบคุมผู้ขับขี่ที่หัวร้อนไม่ได้ผลจริง”