คุณค่าของของขวัญ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ให้ !

เมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่แล้ว (พ.ศ. 2567) “เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์” มอบของขวัญแก่ท่านผู้อ่าน คือ “ระวัง...ของขวัญจากชาวกรีก” (อ่าน “ระวัง...ของขวัญจากชาวกรีก”, เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์ ,ไทยรัฐออนไลน์ ,30 ธันวาคม พ.ศ. 2566) เป็นของขวัญที่พึงระวัง เพราะจะนำแต่ความเดือดร้อนมาให้แก่ผู้รับ

มาวันนี้ ในวาระต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2568 ผู้เขียนขอมอบ 3 ของขวัญปีใหม่...อันยิ่งใหญ่ ที่ผู้เขียนเชื่อว่า เป็นของขวัญยกระดับความคิด จิตวิญญาณ สำนึกและหน้าที่แห่งการได้กำเนิดเกิดเป็นมนุษย์จากหนึ่งศาสนา คือ ศาสนาคริสต์ หนึ่งศาสดา คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับการยกย่องเป็นที่สุดแห่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล คือ ไอน์สไตน์

คุณค่าของของขวัญ !

ของขวัญโดยทั่วไป และไม่ว่าจะในวาระใด นำความสุขความชื่นใจแก่ทั้งผู้รับและผู้ให้

ยกเว้น “ของขวัญจากชาวกรีก” ที่มิได้หมายถึงชนชาวกรีกจริงๆ  หากหมายถึงของขวัญจากชาวกรีกในมหากาพย์ “สงครามกรุงทรอย” ที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้รับ (ถึงขั้นการล่มสลายของกรุงทรอย)

ของขวัญทุกชิ้นทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของเล็กน้อยหรือใหญ่โต มูลค่าเล็กน้อยหรือมากมาย ล้วนมีคุณค่าอย่างที่จริงๆ แล้ว ก็ตีเป็นราคาไม่ได้

...

สำหรับผู้เขียน ของขวัญชิ้นหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับ คือ หนังสือ The Little Prince (เจ้าชายน้อย) เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีพ.ศ. 2510 จากเพื่อนนักศึกษาออสเตรเลียที่มหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น และเป็นหนึ่งในของขวัญวันเกิดที่มีความสำคัญต่อผู้เขียนมากที่สุดตลอดกาล เพราะเปิดทางให้ผู้เขียนได้เข้าถึงแหล่งขุมทรัพย์ใหญ่ทางปัญญาราคาถูกที่ผู้เขียนไม่คิดว่า มีอยู่จริงหรือจะเข้าถึงได้ (อ่าน “ตามล่า...หาขุมทรัพย์ทางปัญญา” ,เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์ ,ไทยรัฐออนไลน์ ,16 ธันวาคม พ.ศ. 2566)

แต่สำหรับเรื่อง “ของขวัญ” ของเราวันนี้ มิใช่ของขวัญเป็นวัตถุสิ่งของ ที่สำคัญ เป็นของขวัญที่มิใช่สำหรับเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นของขวัญมีคุณค่าสำหรับทุกคนที่ “เข้าใจ” และ “เข้าถึงได้” 

ของขวัญ 1 : พระเยซูคริสต์ บุตรพระเจ้า 

ของขวัญ คือ พระเยซูคริสต์ !

ผู้มอบ คือ พระเจ้าแห่งศาสนาคริสต์ !

ผู้รับ คือ มนุษย์ทั่วโลก !

ในพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งฉบับเก่า (Old Testament) และฉบับใหม่ (New Testament) กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ว่า เป็น “บุตรของพระเจ้า” คือ พระยาห์เวห์ (Yahweh) หรือ พระยะโฮวา (Yahova) ในเทววิทยาศาสนาคริสต์ (Christian Theology) กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรพระเจ้า (God the Son) โดยเป็นหนึ่งในสามของพระเจ้าสามพระองค์ (Trinity) คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต (Father , Son , Holy Spirit)

แล้วพระเจ้าตามพระคัมภีร์กับตามเทววิทยาศาสนาคริสต์ เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่ ?

คำตอบดูไม่ชัดเจน เพราะมีทั้งที่ระบุว่า ใช่ และไม่ระบุชื่อของพระเจ้าพระบิดาแห่งเทววิทยาศาสนาคริสต์เลย

อย่างไรก็ดี ตัวตนของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์กับในเทววิทยาศาสนาคริสต์ จึงต่างกันชัดเจนว่า ในพระคัมภีร์ พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลก ส่วนในเทววิทยาศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นหนึ่งในพระเจ้าสามพระองค์ ที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

แต่ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์หรือเทววิทยา พระเยซูก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเลือดเนื้อ มีความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานได้ ดังเช่นมนุษย์ทั่วไป

แล้วทำไมพระเจ้าจึงมอบพระเยซูคริสต์แก่มนุษย์ทั้งโลก ?

ทั้งในพระคัมภีร์และในเทววิทยา มีคำตอบตรงกันว่า ก็เพราะ “ความรัก” ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์จึงทรงประทานของขวัญล้ำค่าที่สุดของพระองค์แก่มนุษย์

เพราะอะไร ?

เพราะมนุษย์กำลังหลงอยู่บนเส้นทางแห่งความหายนะของมนุษย์ พระเยซูคริสต์จึงลงมากำเนิดเป็นมนุษย์เพื่อ “นำสาส์น” แห่งทางรอดจากพระเจ้าแก่มนุษย์ และรับชำระบาปแทนมนุษย์ ด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และความตายบนไม้กางเขน

...

แล้วความรักที่พระเจ้าแสดงแก่โลกโดยการมอบของขวัญอันเป็นที่รักที่สุดของพระองค์ คือ พระเยซูคริสต์ ได้ผลหรือไม่ ?

ผู้เขียนเชื่อว่า ได้ผล เพราะจากการให้พระเยซูคริสต์นำข่าวสารจากพระเจ้ามาบอกแก่ชาวโลกว่า ให้เชื่อมั่นใน พระเจ้า เพราะทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า ก็จะได้อยู่กับพระเจ้า หรือมีพระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา และจะมีชีวิตที่มีความหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายหรือสิ้นหวังเพียงใด

หลักฐานอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ ในปัจจุบัน ศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก คือ จากประชากรโลกจำนวนเกือบ 8 พันล้านคน เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ 2.6 พันล้านคน หรือประมาณ 37% ของประชากรโลก

ของขวัญ 2 : กฎแห่งกรรมธรรมจากพระพุทธเจ้า

“กรรม” และ “กฎแห่งกรรม” !

ในหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน โดย สุชีพ ปัญญานุภาพ ฉบับย่อความรวมเล่มจากพระไตรปิฎก 45 เล่ม ได้สรุปใน “จูฬกัมปวิภังคสูตร” ซึ่งเป็นเล่มที่ 14 ในชุดพระไตรปิฎก 45 เล่ม เป็นพระสูตรว่าด้วยการจำแนกกรรมสูตรเล็ก ความว่า :-

...

พระพุทธเจ้า ณ เชตวนาราม ทรงตอบคำถามของสุภมาณพ บุตรแห่งโตเทยยพราหมณ์ เกี่ยวกับผลร้ายผลดีต่างๆ 7 คู่ ว่า เนื่องมาจากกรรมคือ การกระทำของสัตว์ ความว่า :

  • มีอายุน้อย เพราะฆ่าสัตว์ มีอายุยืน เพราะไม่ฆ่าสัตว์
  • มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนสัตว์ มีโรคน้อย เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์
  • มีผิวพรรณทราม เพราะขี้โกรธ มีผิวพรรณดี เพราะไม่ขี้โกรธ
  • มีศักดาน้อย เพราะมักริษยา มีศักดามาก เพราะไม่มักริษยา
  • มีโภคทรัพย์น้อย เพราะไม่ให้ทาน มีโภคทรัพย์มาก เพราะให้ทาน
  • เกิดในตระกูลต่ำ เพราะกระด้างถือตัว ไม่อ่อนน้อม เกิดในตระกูลสูง เพราะไม่กระด้างถือตัว แต่รู้จักอ่อนน้อม
  • มีปัญญาทราม เพราะไม่เข้าหาสมณพราหมณ์ ไต่ถามเรื่อง กุศล อกุศล เป็นต้น มีปัญญาดี เพราะเข้าหา สมณพราหมณ์ ไต่ถามเรื่องกุศล อกุศล เป็นต้น

ต่อจาก “จูฬกัมปวิภังคสูตร” ก็ตามด้วย “มหากัมมวิภังคสูตร” เป็นพระสูตรว่าจำแนกกรรมสูตรใหญ่ ความว่า :

พระพุทธเจ้า ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ตรัสแสดงธรรมแก่พระอานนท์ ภายหลังที่ตรัสปรารภเรื่อง พระสมิทริตอบคำถามของปริพพาชกโปตลิบุตรแห่งเดียว แทนที่จะตอบแบ่งตามเหตุผล เมื่อพระอานนท์กราบทูลขอร้อง จึงทรงแสดงเรื่องการจำแนกกรรมเรื่องใหญ่ โดยแสดงถึงบุคคล 4 ประเภท คือ...

  • ทำชั่วแล้วไปเกิดในอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก
  • ทำชั่วแล้วไปเกิดในสุคติ โลกสวรรค์
  • ทำดีแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
  • ทำดีแล้วไปเกิดในอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก

ซึ่งทำให้สมณพราหมณ์บางพวกผู้เห็นไม่ตลอดสายเข้าใจผิด ทรงรับรองเฉพาะคำกล่าวที่ถูกต้อง ที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ตรัสรับรอง นอกจากนั้น ทรงแสดงเหตุผล คือ กรรมดีกรรมชั่วที่ทำก่อน ทำหลัง และการมีความเห็นถูกเห็นผิดก่อนตายว่า อาจแทรกส่งผลให้คนเข้าใจผิดได้ แต่ความจริง กรรมทุกอย่างจะส่งผลทั้งสิ้น (เพียงแต่ให้เข้าใจให้ตลอดสาย ไม่สับสน) 

...

หนังสือพระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชนเป็นหนึ่งในของขวัญล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้เขียน เพราะได้อาศัยเป็นแสงสว่าง ในการศึกษาและตรวจสอบ แก่นของพุทธศาสนาอย่างเร็วๆได้สะดวก และเชื่อถือได้

นอกเหนือไปจากคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผู้เขียนได้พบและยึดมั่นอย่างแข็งขันมาตั้งแต่เด็ก 2 ข้อ คือ “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” และ “การเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง” (อ่าน “5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน”  ,เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์ ,ไทยรัฐออนไลน์ ,20 เมษายน พ.ศ. 2567)

สำหรับประเด็นใหญ่ของเราวันนี้ ผู้เขียนก็ได้อาศัยหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน เป็นแหล่งตรวจสอบพระธรรมคำสอน ที่ผู้เขียนขอคัดเลือกหรือประมวลเป็น “ที่สุดแห่งของขวัญอันยิ่งใหญ่” จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เรื่องของ “กรรม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กฎแห่งกรรม”

ศาสนาพุทธเป็นศาสนา “อเทวนิยม” คือ ไม่มีเทพเจ้า ไม่มีพระเจ้า ผู้สร้างโลก สร้างจักรวาล หรือควบคุมความเป็นไป ความเป็น ความตาย ของมนุษย์ทั้งโลก แต่ในศาสนาพุทธ มีเรื่องของ “ภพ” เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องของ “ภพนี้”  “ภพก่อน”  “ภพหน้า”  มีเรื่องของวิญญาณแห่งมนุษย์และสัตว์โลก ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ ตราบที่ยัง “ไม่หมดเวรหมดกรรม” หรือ “ยังไม่บรรลุ” สู่ความเป็นที่สุดแห่ง “สันติภพ” คือ “นิพพาน” ดังองค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า

คำสอนอันมากมายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นคำสอนเพื่อชี้ทางสู่ “ที่สุดแห่งการหลุดพ้น” ซึ่งตามความเข้าใจ (อันน้อยนิด) ของผู้เขียน อย่างตรงๆ และสั้นที่สุด ที่ผู้เขียนขอยกมาเป็น “ที่สุดแห่งของขวัญขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า” ก็คือ คำสอนเรื่อง “กรรม”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กฎแห่งกรรม” ที่ปรากฏเป็นพุทธวจนะ หรือพุทธภาษิต “กัมมุนา วัตตติโลโก” มีความหมายว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

โดยความหมายอย่างตรงๆ และชัดเจน ก็ดังแสดงใน “จูฬกัมปวิภังคสูตร” หรือพระสูตรจำแนกกรรมสูตรเล็ก ที่ผู้เขียนขอสรุปรวบยอดเป็น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ที่คุ้นเคยกันนั่นเอง

แต่สำหรับประเด็นเรื่องการทำความดีเพื่อลบล้างความชั่วว่า ทำได้หรือไม่นั้น ก็ชัดเจนจาก “มหากัมปวิภังคสูตร” หรือ พระสูตรจำแนกกรรมสูตรใหญ่ ว่า ไม่ได้ 

มีการกล่าวถกเถียงกันว่า หลักธรรมคำสอนเรื่อง “กฎแห่งกรรม” เป็นนามธรรมเกินไป ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่า คนทำดี แต่ไม่ได้ดี มีอยู่มากมาย ในขณะที่คนทำชั่ว แต่กลับได้ดี ดูจะมีให้เห็นกันมากกว่า

สำหรับผู้เขียน ไม่คิดสงสัยในหลักธรรมคำสอนเรื่อง กฎแห่งกรรม  ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะผู้เขียนเชื่อเรื่อง “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” และคนทุกคนที่มีสติสัมปชัญญะเป็นคนปรกติ คือ ไม่ใช่คนบ้า ย่อมรู้แก่ใจตนเองเสมอว่า สิ่งที่ตนคิด ตนทำ เป็นสิ่งดีหรือชั่วร้าย !

(3) ของขวัญ 3 : “กฎธรรมชาติ”จาก “เหตุ” และ “ผล” การกำเนิดสรรพสิ่งของไอน์สไตน์

“กฎธรรมชาติ!” !

“เหตุ” และ “ผล” การก่อกำเนิดสรรพสิ่ง ! 

ของขวัญจากไอน์สไตน์ !

ไอน์สไตน์มีข้อคิดคำคมที่ได้รับการกล่าวถึงมากมาย แต่สำหรับเรื่องเราวันนี้ ผู้เขียนขอยก “ความคิด” ของไอน์สไตน์สำหรับ “กฎธรรมชาติ” จาก “เหตุ” และ “ผล” การก่อกำเนิดของสรรพสิ่ง มาเป็นหนึ่งในสามที่สุดแห่งของขวัญปีใหม่ 2568 มอบแก่ท่านผู้อ่าน

ฟังเผินๆ ความคิดเกี่ยวกับ “เหตุ” และ “ผล” การก่อกำเนิดของสรรพสิ่ง จริงๆแล้ว ก็เป็นหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์อยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร ที่ไหน ล้วนเป็น “ผล” คือ “effect” จาก “เหตุ” คือ “cause” ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของวิทยาศาสตร์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ถึงปัจจุบัน และต่อไปในอนาคตอีกอย่างแน่นอน

และอย่างแน่นอน ความคิดของไอน์สไตน์เรื่องนี้ก็เป็นการตอกย้ำความสำคัญของ “เหตุ” และ “ผล” อันเป็นหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ แต่ความตั้งใจลึกๆของไอน์สไตน์ ในการกล่าวถึงเรื่องนี้ ไอน์สไตน์มองลึกลงไปถึง “หัวใจ” ของคริสต์ศาสนา คือ เรื่องของ “พระเจ้า” ผู้สร้างสรรพสิ่งที่เป็นจักรวาล เป็นโลก เป็นสรรพชีวิต รวมทั้งมนุษย์บนโลก

ไอน์สไตน์เป็นยิว และอย่างเป็นทางการ ก็นับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ไอน์สไตน์ไม่เชื่อเรื่อง “พระเจ้า” ในตัวตนของผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์

แต่ถ้าถามไอน์สไตน์ว่า เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเลยหรือ ?

ไอน์สไตน์ก็จะตอบว่า เชื่อสิ !

แล้วพระเจ้าของไอน์สไตน์คืออะไร ?

คำตอบอย่างตรงๆของไอน์สไตน์ ก็คือ “กฎธรรมชาติ”

ถ้าผู้ฟังยังงงๆอยู่ ไอน์สไตน์ก็จะอธิบายต่อว่า สรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดขึ้นอย่างมีที่มาที่ไป คือ มี “เหตุ” เป็นเบื้องต้น แล้วจึงเกิดเป็น “ผล” ตามมา

แล้วเราจะเห็นพระเจ้าได้ไหม ?  เข้าถึงพระเจ้าจริงๆได้ไหม ?

คำตอบของไอน์สไตน์ก็จะเป็นว่า “เห็นได้” “เข้าถึงได้” แต่จะเห็นและเข้าถึงได้เพียงบางส่วนของพระเจ้าเท่านั้น !

เพราะอะไร ? เพราะวิถีแห่งพระเจ้าลึกลับซับซ้อนมากใช่ไหม ?

คำตอบของไอน์สไตน์ก็จะเป็นว่า “วิถีของพระเจ้าไม่ลึกลับ ไม่ซับซ้อน จริงๆแล้ว กฎแห่งธรรมชาติที่เป็นตัวตนของพระเจ้า เป็นแบบง่ายๆ เพียงแต่ว่า ถึงจะง่าย ก็ยังยากสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าถึงได้อยู่ดี !”

แล้วที่ว่า เห็นได้และเข้าถึงได้ แม้แต่บางส่วนเป็นอย่างไร ?

ที่เห็นได้ ตัวอย่างก็คือ กฎธรรมชาติในรูปของกฎ ทฤษฎีวิทยาศาสตร์  ที่ใช้งานได้จริง เช่น กฎการเคลื่อนที่ของ นิวตัน ซึ่งก็ทราบกันแล้วว่า ยังไม่สมบูรณ์ จึงเป็น “บางส่วน” ของพระเจ้าที่เราเห็นได้ เข้าถึงได้

แล้วเรา จะทำอย่างไร จึงจะเห็นและเข้าถึงพระเจ้าได้มากขึ้น ?

คำตอบของไอน์สไตน์ ก็คือ โดยการพยายามเข้าถึงกฎธรรมชาติให้ได้มากขึ้น เหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์กำลังทำอยู่ เพราะงานของนักวิทยาศาสตร์ในการศึกษา วิจัย เพื่อเข้าใจเข้าถึงกฎกติกาของธรรมชาติ จริงๆแล้ว ก็คือ งานการเข้าให้ใกล้พระเจ้ามากขึ้น เพราะทุกความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น ก็เหมือนทุกย่างก้าวที่มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น

ถ้าท่านผู้อ่านจะตั้งข้อสังเกตความคิดของไอน์สไตน์เรื่อง “กฎธรรมชาติ” จาก “เหตุ” และ “ผล”  เป็นที่สุดการก่อกำเนิดของสรรพสิ่ง ว่า ดูจะคล้ายกับ พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่อง “กรรม” และ “กฎแห่งกรรม” แล้ว ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับท่านผู้อ่าน

และผู้เขียนเชื่อว่า ท่านผู้อ่านคงจะอยากทราบต่ออีกด้วยว่า ไอน์สไตน์สนใจและ/หรือเข้าถึงพุทธศาสนาแค่ไหน ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่สุดแห่งพระธรรม เรื่อง “กรรม” และ “กฎแห่งกรรม” ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีส่วนในการจุดประกายความคิดเรื่อง “เหตุ” และ “ผล” เป็นที่สุด แห่งการก่อกำเนิดของสรรพสิ่งของไอน์สไตน์หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่...น่าคิด

แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลย ก็คือ ความสนใจของไอน์สไตน์ต่อพุทธศาสนา จนกระทั่งไอน์สไตน์ตกผลึกออกมา เป็นคำกล่าวที่รู้จักกันดีทั่วโลกว่า :

“ถ้าจะมีศาสนาใด ซึ่งพอจะเข้ากันได้กับแนวคิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้นคือ ศาสนาพุทธ” 

พระเยซูคริสต์บุตรของพระเจ้า !

“กฎแห่งกรรม” ธรรมจากพระพุทธเจ้า !

“กฎธรรมชาติ” ความคิดจากไอน์สไตน์ !

เป็น 3 ที่สุดแห่งของขวัญอันยิ่งใหญ่จากหนึ่งศาสนา หนึ่งศาสดา และหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ ที่ผู้เขียนคัดสรรมาฝากท่านผู้อ่านวันนี้

แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ นึกถึงสิ่งดีสิ่งสำคัญอะไร? จากใคร? ที่ท่านอยากจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่เพื่อนร่วมโลกด้วย !

สำหรับของขวัญปีใหม่เป็นการส่วนตัวปีนี้ ที่ผู้เขียนขอมอบให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน คือ ขอให้ท่านเข้านอนคืนนี้ ด้วยความมั่นใจว่า พรุ่งนี้ มีสิ่งดีๆ กำลังรอท่านอยู่ !

แล้วท่านผู้อ่าน มีอะไรเป็นของขวัญปีใหม่จากใจของท่าน จะมอบให้กับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆครับ ?