ดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 08.00 น. วันที่ 1 ส.ค. 2567 ไปจนถึงวันที่ 15 ก.ย. 2567 ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" สำหรับผู้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการภายในเดือน ธ.ค. 2567 ท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่าย เพราะเป็นการใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ข้ามปีงบประมาณ 2567 อาจมีความเสี่ยงขัด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณปี 2561
ขณะที่ร้านค้ารายย่อยในชุมชนยังลังเลเข้าร่วมโครงการ กลัวเงื่อนไขที่ยุ่งยาก และอาจโดนภาษีย้อนหลัง อีกทั้งไม่สามารถนำเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไปขึ้นเงินสดนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนได้ จะต้องไปซื้อสินค้าวัตถุดิบอีกต่อจากร้านค้าอื่น ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขพื้นที่และขนาดร้านค้า โดยร้านค้าที่จะสามารถเบิกถอนเงินสดได้ต้องอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม มีรายได้จากการประกอบธุรกิจเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งทางกระทรวงการคลังชี้แจงว่าเพื่อเพิ่มผลกระทบเศรษฐกิจแบบทวีคูณ และลดการทุจริตในการแลกเปลี่ยนเงินสด
...
งบกลางถูกดึงไปเกือบหมด เกิดน้ำท่วมใหญ่ จะทำอย่างไร?
เงื่อนไขที่กำหนดออกมายิ่งสร้างข้อกังขาให้กับ “ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี” อาจารย์เกียรติคุณ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มองว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตใช้งบ 450,000 ล้านบาท ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากอย่างที่คาด มีการเอางบเดิมที่มีอยู่แล้ว 122,000 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งเอามาจากงบกลางนำมาใช้ จนไม่มีงบไปแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ แต่นำไปใช้เรื่องนี้ทั้งหมด และหากเกิดน้ำท่วมใหญ่จะเป็นปัญหา เพราะงบกลางหายไปเกือบหมด
"รัฐบาลบอกเศรษฐกิจจะโต 1.2% ก็เพิ่มแค่นิดเดียว ส่วนตัวคิดว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะเพิ่มผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่เยอะ แม้มีเป้าหมายจะกระตุ้นเศรษฐกิจ คนอาจเอาไปซื้อข้าว ซื้อสินค้าที่เป็นประโยชน์ หรืออาจไปใช้หนี้ แต่โดยภาพรวมกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เยอะอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนออกมาบอก และหากเกิดเรื่องเร่งด่วนในประเทศ จะไม่มีงบจะทำอย่างไร ยังไม่รวมถึงเรื่องระบบที่ออกแบบจะเสถียรหรือไม่ เพิ่งออดิตไป 2 เดือน เกรงว่าจะไม่ทันเดือนธันวานี้"
อีกข้อกังวลในประเด็นเรื่องร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้นจะสามารถเบิกถอนเงินสดได้ ซึ่งเข้าใจว่าต้องการให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่ร้านค้ารายเล็กก็ต้องการสภาพคล่องเช่นกัน เพราะสายป่านไม่ยาวเหมือนร้านค้าขนาดใหญ่ที่ได้เครดิต ขณะที่ร้านค้ารายเล็กรายย่อยต้องซื้อวัตถุดิบมาขาย เมื่อไม่ได้เป็นเงินสด จึงน่าเป็นห่วงมาก
โดยเฉพาะร้านค้าในตลาดไม่ได้อยู่ในระบบภาษี กลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยร้านค้ารายย่อย แต่กลับเป็นการแย่งลูกค้าไปให้ร้านค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ เป็นการคิดมั่วทำมั่วไปหมดของพรรคเพื่อไทย กลายเป็นมวยวัดที่นอกจากไม่ได้ช่วยร้านค้ารายย่อยที่ขายอยู่ริมถนนแล้ว ยิ่งเป็นการทำลายร้านค้าเหล่านี้
ดิจิทัลวอลเล็ต ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เอื้อรายใหญ่ชัดๆ
การใช้งบข้ามปีงบประมาณ ก็สุ่มเสี่ยงขัด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณปี 2561 จนฝ่ายค้านออกมาบอกให้ระวัง จนดูเหมือนว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข็นให้สำเร็จจนได้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้เศรษฐกิจไทยน่าห่วง มีปัญหาวัฏจักรขาลง ทั้งปัญหาด้านโครงสร้าง ปัญหาสะสมจากช่วงโควิด และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่อำนวย แต่รัฐบาลไม่ได้แก้ไขอะไร จนโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทยอยปิดกิจการ และยังเจอปัญหาการแข่งขันทางการค้าจากจีนและเวียดนาม รวมถึงสหรัฐฯ ก็ตั้งกำแพงภาษี ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียก็ตั้งกำแพงภาษีแล้วเช่นกัน
...
ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่โครงการที่แย่ สามารถใช้จ่ายในภูมิลำเนาที่อยู่ในทะเบียนบ้าน แต่เป็นห่วงมากสุดคือ ร้านค้ารายย่อย ร้านค้าขนาดเล็ก ไม่สามารถเบิกมาเป็นเงินสดได้ จนไม่มีเงินทุนหมุนเวียนในการจ้างลูกจ้าง จ่ายค่าต้นทุนค่าน้ำค่าไฟ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็น่าจะเอื้อร้านค้าขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจตามเป้าหมายของรัฐบาลที่คาดหวังไว้ จนนึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป.