คดีฆ่าตัดมือ นำศพไปทิ้งใต้ทางด่วน เป็นอีกคดีฆาตกรรมสร้างความสะเทือนขวัญ จนดูเหมือนว่าสังคมในปัจจุบันอยู่ยากมากจากการใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสิน ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ หากถูกขัดใจไม่ได้ดั่งใจ จะต้องฆ่าให้ตายสถานเดียวหรือไม่? แล้วใครจะเป็นรายต่อไป คงเกิดคดีในลักษณะคล้ายๆ กันอย่างต่อเนื่องในยุคสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และผู้ลงมือก่อเหตุ รวมถึงคนในครอบครัว มักจะอ้างความผิดปกติทางจิต หวังได้รับการละเว้นการรับโทษตามกฎหมาย หรือได้รับโทษน้อยลง

อย่างกรณีแซน-ธนากร หนุ่มแว่น วัย 19 ปี ฆาตกรฆ่าตัดมือแฟนสาว วัย 18 ปี พยายามจะยกเรื่องอาการป่วยทางจิตมาต่อสู้คดี แต่พฤติการณ์การก่อเหตุอาจไม่เป็นเช่นนั้น แม้หลังก่อเหตุพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเกินขนาดก็ตาม และยังมีคดีทำร้ายและกระทำอนาจารเด็กหญิง อายุ 13 ปี เมื่อปี 2565 เป็นสิ่งที่ชี้ชัดปมในจิตใจบางอย่าง เมื่อถูกขัดใจก็จะขาดมโนธรรม ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ เบื้องต้นในชั้นสอบสวนรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แต่ไม่ให้ข้อมูลกับตำรวจถึงรายละเอียดของพฤติการณ์ ยังมีทีท่าเหมือนคนไม่มีสติเป็นบางครั้ง และขณะโดนตำรวจหิ้วตัวก็มีอาการแขนขาหมดเรี่ยวหมดแรง

ไอ้แซนมือฆ่าตัดมือแฟนสาว แขนขาหมดแรง ขณะถูกตำรวจหิ้วตัวไป
ไอ้แซนมือฆ่าตัดมือแฟนสาว แขนขาหมดแรง ขณะถูกตำรวจหิ้วตัวไป

...

พูดโต้ตอบได้-พฤติกรรมก่อเหตุ ชัดเจนไม่ได้ป่วย

ยิ่งทำให้สังคมสงสัย ตกลงแล้วฆาตกรฆ่าตัดมือแฟนสาว ป่วยจิตเวชหรือไม่? “ผศ.ดร.ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล” ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยา บอกทันทีเลยว่า ไม่ได้ป่วยจิตเวช เพราะโดยหลักทั่วไป เมื่อสงสัยว่าป่วยต้องให้แพทย์ตรวจสอบเบื้องต้น และพบว่าไม่ได้ป่วย ยังสามารถพูดโต้ตอบได้อย่างชัดเจน รวมถึงพฤติกรรมการก่อเหตุในลักษณะตัดมือทั้ง 2 ข้างของผู้ตาย ไม่ได้ป่วย แต่เพื่ออำพรางศพ และดูแล้วอาจไม่มีเวลาหั่น เหมือนพยายามใช้มีดบังตอหั่นคอแต่ไม่ขาด แล้วระหว่างนั้นคิดว่าจะทำอะไรต่อ ก่อนเอาศพไปทิ้งให้ตรวจสอบยาก

“ถ้าเป็นพวกวิปริต ต้องหั่นศพออกเป็นสองท่อน หรือแทง หรือหั่นอวัยวะบางส่วน หรือถ้าโกรธแค้นก็หั่นบางส่วน แต่กรณีนี้ตัดมือเอาไปทิ้ง ไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร และค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการอำพรางศพ มีการแสดงว่าป่วยจิตเวช พยายามหาทางออกด้วยการแกล้งบ้า แกล้งตีมึน และจากประวัติ มีการรักษาอาการป่วย ก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่ไปหาหมอรักษา อาจป่วยโรคซึมเศร้า ทำให้คนเข้าใจว่าป่วยจิตเวช เหมือนหลายคดีมักอ้างว่าเคยเข้าโรงพยาบาลจิตเวช แต่ส่วนใหญ่เป็นซึมเศร้า หมอให้ยารักษา ก็เลยอ้างว่าป่วย คิดว่าอาจลดโทษได้ โดยกระบวนการศาลจะให้ตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าแพทย์ตรวจสอบว่าป่วย ก็แจ้งศาล แล้วรักษาให้หาย ก่อนตัดสินคดี”

การก่อเหตุรุนแรงของวัยรุ่นในปัจจุบันเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากโตด้วยวัตถุในสังคมที่เปลี่ยนแปลง เป็นโรคต่อต้านสังคม มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ โดยช่วงวัยเด็กมี 2-3 ส่วน ด้านหนึ่งเมื่ออยู่ในบ้านอาจไม่มีบทบาท เกิดความคับข้องใจ หรือจากสภาพแวดล้อมในครอบครัว เห็นพ่อแม่ถกเถียงกัน และเจอสถานการณ์ที่สร้างความบอบช้ำในจิตใจ เมื่อโตขึ้นมากลายเป็นคนมีบุคลิกภาพที่อาจมีปัญหาด้านจิตเวช กลายเป็นคนหุนหันพลันแล่น ไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น เอาตัวเองเป็นหลัก เห็นคนอื่นเจ็บปวดก็จะสะใจ และลงมือกระทำเพื่อระบายความแค้น จนถูกมองว่าขาดมโนธรรม ไม่ถูกสอนให้เห็นอกเห็นใจคนอื่น หากขัดใจมักจะตอบโต้ด้วยความรุนแรง

ระวังเหตุซ้ำรอย สังคมเปลี่ยน เด็กรุ่นใหม่พัฒนาความก้าวร้าว

ในสังคมไทยจะเห็นเหตุการณ์แบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันเด็กยุคใหม่ติดโทรศัพท์มือถือ จนซึมซับในเชิงวัตถุค่อนข้างมาก ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น และในแง่ของจิตวิทยา พัฒนาการในช่วงวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ทำให้จิตใจและพฤติกรรมก้าวร้าว มีอาการหุนหันพลันแล่น วู่วาม ใจร้อน มาพร้อมกันในกลุ่มวัยรุ่น

...

แต่ก็มี 2 ส่วนที่กลุ่มหนึ่งเข้าใจมนุษย์ และอีกกลุ่มไม่เข้าใจมนุษย์ ชอบแยกไปอยู่คนเดียว มีความเก็บกด แล้วไปก่อพฤติกรรมอื่นๆ เช่น เลี้ยงสัตว์มีพิษร้าย หมกหมุ่นในสิ่งที่ไม่ดี เช่น สะสมอาวุธ หรือถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า ฆ่าตัวตายก็มี หากปรับตัวกับสังคมไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น อย่างญี่ปุ่น ก็มีวัยรุ่นฆ่าตัวตายกันมาก ส่วนวัยรุ่นอเมริกา ก็ก่อเหตุร้ายแรง เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าปรับตัวได้ก็ไปได้ 

“ความเปลี่ยนแปลงเคยสร้างความตกใจ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีนักศึกษาคนหนึ่งเคยถามถึงวิธีแก้ปัญหา หากถูกขัดใจ ถูกแฟนทิ้ง ก็พบว่านักศึกษาหลายคนตอบว่าก็ต้องฆ่า หรือแฟนนอกใจ ก็จะเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผา สะท้อนให้เห็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่เคยมีการแก้ปัญหา เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะเด็กรุ่นใหม่มีทักษะในการใช้ชีวิตที่ต่ำอยู่แล้ว เรื่องสกิลทั่วไปก็ต่ำ สกิลแก้ปัญหาในการหาทางออกก็ไม่มี ถ้าอกหัก ขัดใจก็ต้องฆ่า กระทั่งพัฒนาความก้าวร้าวมาจนถึงปัจจุบัน ฆ่าคนอื่นแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนใจ เข้าข่ายเลือดเย็นมาก จนเป็นเรื่องที่น่าห่วง”

...

เมื่อก่อเหตุไปแล้วถูกส่งไปอยู่เรือนจำ ก็พบว่าพฤติกรรมที่เคยก่อไม่ได้รับการแก้ไข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ตระหนักว่าคนในยุคปัจจุบัน มีปัญหาสภาพจิตแบบแฝงเร้นโดยไม่รู้ว่าหลายคนมีปัญหาทางจิต และคนกระทำผิดเข้าเรือนจำในแง่ของการปรับตัวแก้ไข ไม่ได้มีการอบรมขัดเกลาให้ดีขึ้น ซึ่งปกติมีการคัดแยกผู้กระทำผิด แต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีสถานที่บำบัด

หรือหากบางคนไม่หาย แล้วไปโดนกระตุ้นอีก ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนเกิดการทำลายล้างค่อนข้างชัดเจนในแง่ของทฤษฎีอาชญาวิทยา หรือบางคนคุยรู้เรื่อง แต่เมื่อโดนขัดใจก็จะลงมือ ซึ่งหลายออฟฟิศในต่างประเทศ มีผลตรวจพนักงานในด้านจิตเวช มีการทำแบบสอบถาม หากใครมีความเครียด ก็ให้หยุดพักงานหาจิตแพทย์รักษา.