มิติใหม่การศึกษาไทย ต้อนรับเปิดเทอมปีการศึกษา 2567 จากนโยบาย "สุขาดี มีความสุข" ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมจัดสรรงบ 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงห้องน้ำโรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็ก 9 พันกว่าแห่ง ภายหลังสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนพบว่า นอกจากนักเรียนอยากได้ห้องเรียนที่ดี มีบรรยากาศที่สร้างสรรค์กับครูผู้สอนแล้ว ยังต้องการให้ปรับปรุงเรื่องห้องน้ำ
เสียงสะท้อนที่ได้รับมา ยังนำไปสู่แนวคิดความเท่าเทียม จะไม่มีการแบ่งแยกห้องน้ำครูกับห้องน้ำนักเรียน นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไปเด็กนักเรียนและครูสามารถใช้ห้องน้ำร่วมกันได้ จะแยกเฉพาะห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิงเท่านั้น ซึ่งมีทั้งเสียงสนับสนุนและไม่เห็นด้วย จนกลายเป็นดราม่า โดยฝ่ายเห็นด้วยมองว่าไม่ว่าครู หรือนักเรียน ควรมีสิทธิเป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนที่ไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบหลงทาง แทนที่จะฝึกเด็กให้เกียรติและมีสัมมาคารวะครูอย่างเหมาะสม น่าจะดีกว่า
ห้องน้ำสกปรก ความทุกข์ เรื่องใหญ่ของเด็กนักเรียน
...
ในมุมมองของ "ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ" นักวิชาการด้านการศึกษา เห็นว่า การปรับปรุงห้องน้ำนักเรียนให้สะอาด และครู นักเรียนสามารถใช้ห้องน้ำร่วมกันได้ เป็นการตอบโจทย์เรียนดีมีความสุข ถือเป็นเรื่องที่ดีในการเอาใจใส่ ซึ่งเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะเรื่องห้องน้ำเป็นเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม เป็นการเห็นความแตกต่างระหว่างการบริหารแบบอนุรักษนิยมกับการบริหารแบบเสรีนิยม อย่างการแบ่งแยกโต๊ะผู้บริหาร หรือครูผู้บริหาร ต้องเข้าห้องน้ำอีกแบบ และเด็กนักเรียนต้องเข้าห้องน้ำแบบนี้ เป็นเรื่องของโครงสร้างด้านอำนาจระบบศักดินา ความไม่เท่าเทียมกัน
"แนวความคิดปรับปรุงห้องน้ำ เริ่มมาจากการสำรวจความเห็นเด็กนักเรียนออกมาบอกว่า สิ่งที่เป็นปัญหา เป็นความทุกข์ของเด็กมากที่สุดเป็นอันดับแรก คือห้องน้ำที่โคตรสกปรกมาก เป็นความทุกข์ของเด็ก และจากการลงพื้นที่ ทางโรงเรียนก็จะให้เข้าห้องน้ำผอ. หรือของครู แต่พยายามเข้าไปห้องน้ำของเด็กๆ ก็พบว่ามันสกปรกมากจริงๆ ไม่ได้รับการเอาใจใส่ จนเด็กจำนวนไม่น้อยต้องอั้นเอาไว้ไปเข้าที่บ้าน แม้ห้องน้ำจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เป็นความทุกข์ เป็นเรื่องใหญ่ของเด็ก แตกต่างกับห้องน้ำครูและผอ. ราวฟ้ากับดิน"
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากผลสำรวจที่ออกมา มีการเห็นพ้องต้องกันว่าห้องน้ำ เป็นความทุกข์มากที่สุด โดยเฉพาะห้องน้ำโรงเรียนขนาดเล็ก ทั้งเสื่อมทรุดโทรมสุดๆ จนแทบเข้าไม่ได้ ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ พยายามแก้ไขปัญหา และเรื่องของโต๊ะเก้าอี้ของผู้บริหารพื้นที่ในโรงเรียน ก็เกิดจากระบบชุดความคิดการบริหารแบบอนุรักษนิยม และส่วนตัวเห็นว่าเรื่องห้องน้ำในโรงเรียน ก็น่าจะใช้ร่วมกันได้ เพราะห้องน้ำเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
การปรับปรุงห้องน้ำเด็กนักเรียนต้องรื้อครั้งใหญ่ ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งงบ 1 หมื่นบาทให้แต่ละโรงเรียนไปดำเนินการไม่เพียงพอในการทำห้องน้ำให้สะอาด เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เด็กมาโรงเรียนอย่างมีความสุข และคิดว่างบ 1 หมื่นบาทอาจเป็นเงินก้อนแรกเท่านั้น อาจอาศัยผู้ปกครองช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกหลานมีห้องน้ำสะอาดได้ใช้ และมีความปลอดภัย ทำให้มีคุณภาพใช้วัสดุที่สมควร และตั้งในจุดที่เปิดเผย หากดูแลห้องน้ำไม่ดี ไม่มีความปลอดภัย เด็กอาจถูกล่วงละเมิดทางเพศ และเด็กผู้ชายอาจหลบไปสูบบุหรี่
ห้องน้ำสะอาดและดี แรงจูงใจให้เด็กอยากมาโรงเรียน
...
อีกอย่างห้องน้ำในโรงเรียน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับบริการ ไม่ควรมีการแบ่งแยก และการปรับปรุงห้องน้ำควรเริ่มจากโรงเรียนในชนบท ซึ่งมีปัญหาเป็นส่วนใหญ่มากกว่าโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็กในตัวเมือง เพราะงบที่จำกัดหากโรงเรียนใดดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องลงเงิน อาจให้ผู้ปกครองเข้ามาช่วยเหลือ และเรื่องสำคัญเมื่อโรงเรียนมีภารโรง มีหน้าที่สำคัญต้องดูแลรับผิดชอบห้องน้ำให้สะอาดอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญให้ห้องน้ำดีเท่ากับห้องเรียนและห้องสมุด ให้เด็กมีความสุขจะได้เป็นแรงจูงใจให้เด็กอยากมาโรงเรียน
"เก้าอี้โต๊ะต้องแยกระหว่างครูกับนักเรียน เป็นความคิดที่เก่าคร่ำครึ บริหารแบบอนุรักษ์นิยม ทั้งๆ ที่โลกสมัยใหม่เปลี่ยนไปแล้ว และควรปลูกฝังให้เด็กใช้ห้องน้ำให้เป็น รู้จักรักษาความสะอาด ต้องคำนึงถึงคนอื่นที่จะเข้ามาใช้ต่อ เพราะฉะนั้นเรื่องส้วมหรือห้องน้ำ ถือเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการศึกษาไทย เมื่อห้องน้ำไม่สะอาดจะก่อปัญหาด้านสุขภาพกับเด็ก ก่อโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และโรคอื่นๆ ได้ เพราะการปลดปล่อยในห้องน้ำที่สะอาด จะทำให้เด็กสุขภาพกายดี สุขภาพใจดี มาเรียนอย่างมีความสุข".
...