“ฝรั่งเตะหมอ” ส่อบานปลาย ภายหลังแพทย์หญิงรายหนึ่ง วัย 26 ปี เข้าแจ้งความที่ สภ.ถลาง ถูกชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของพูลวิลล่าและเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้าง ริมหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้ากลางหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชากับเพื่อน เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา บริเวณบันไดพูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ

เหตุการณ์วันนั้นแพทย์หญิง ยังถูกชายชาวต่างชาติและภรรยาชาวไทย ด่าทอต่างๆ นานา ในลักษณะเหยียดเป็นแค่คนท้องถิ่น แถมอ้างว่าลูกชายเป็นตำรวจ และรู้จักตำรวจยศใหญ่ใน จ.ภูเก็ต คอยดูแลช่วยเหลือ และถ้ายิงก็ตายฟรี เพราะบุกรุกพื้นที่พูลวิลล่า จะแจ้งความดำเนินคดีกับแพทย์หญิง และเพื่อน ในข้อหาบุกรุกในยามวิกาลอีกด้วย 

ในเวลาต่อมาชายชาวต่างชาติ อ้างว่าไม่ได้เตะ แต่ลื่นสะดุดล้มจนเท้าไปโดนที่หลัง และจะแจ้งความ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กับพ่อของแพทย์หญิงไปโพสต์ผ่านโซเชียล ทำให้แพทย์หญิงออกมาทวงความเป็นธรรมถามกลับหากคุณลื่นล้ม แล้วจะทำอย่างไรต่อ ก็ควรต้องขอโทษ และไม่ควรมีคนไทยคนใดถูกกระทำ หรือมาเจอเรื่องแบบนี้อีก ยืนยันจะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพราะทุกอย่างคือความจริง

ฝรั่งเตะหมอออกมาขอโทษ แต่แพทย์หญิงก็ไม่ยอมความ
ฝรั่งเตะหมอออกมาขอโทษ แต่แพทย์หญิงก็ไม่ยอมความ

...

เรื่องนี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพฤติกรรมของชาวต่างชาติที่เข้ามาใน จ.ภูเก็ต หากเข้าข่ายประพฤติตนไม่เหมาะสม จะมีการเสนอเพิกถอนหนังสือเดินทางอย่างเด็ดขาด ขณะที่นายอำเภอถลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพบว่าบันไดพูลวิลล่า ตั้งแต่ขั้นที่ 2 ลงมารุกล้ำพื้นที่สาธารณะ จึงสั่งให้รื้อถอน

เหตุการณ์ไม่จบลงง่ายๆ เมื่อชาวโซเชียลแห่ให้กำลังใจแพทย์หญิง พร้อมกับเคลื่อนไหวกดดันชายชาวสวิตเซอร์แลนด์และภรรยาชาวไทย รวมถึงให้ตรวจสอบศูนย์อนุรักษ์ช้าง มีการเปิดรับบริจาคและขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ จากการตรวจสอบของปศุสัตว์ จ.ภูเก็ต พบว่าศูนย์อนุรักษ์ช้างหรือปางช้าง เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่จองล่วงหน้าเท่านั้น มีค่าบริการจัดกิจกรรมคนละ 2,500 บาท

เมื่อสองสามีภรรยาถูกคนในสังคมกดดันอย่างหนัก ในที่สุดก็ต้องออกมาไหว้ขอโทษแพทย์หญิง เพราะคิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกับนักท่องเที่ยวจีนที่เคยบุกรุก แต่ยังคงยืนยันว่าลื่นล้มสะดุดไปโดนหลังแพทย์หญิง และมีใบรับรองแพทย์ได้รับบาดเจ็บแผลเล็บฉีกที่นิ้วชี้เท้าซ้าย ส่วนเหตุที่ไม่ขอโทษทันที เพราะกำลังโมโหอยู่ และไม่ได้พูดเหยียดเป็นคนท้องถิ่น ไม่ได้ขู่จะใช้ปืนยิง หากรู้ว่าเป็นหมอ จะชวนเข้าไปนั่งดื่มน้ำ ทำให้แพทย์หญิงรับคำขอโทษ แต่จะไม่ถอยในเรื่องคดี

ขณะที่ชาวภูเก็ตพูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ยอมไม่ได้ให้ชาวต่างชาติที่อาศัยในแผ่นดินไทยกระทำพฤติกรรมเช่นนี้ โดยมีหลายเพจ นัดพบกันวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค.นี้ บริเวณหาดยามู เพื่อขอคืนพื้นที่ให้เป็นหาดสาธารณะ พร้อมกับสโลแกน “Get Out David” เพราะชาวต่างชาติรายนี้ เคยมีปัญหากับชาวบ้านรอบๆ พื้นที่ มีคนออกมาแฉพฤติกรรมกร่าง เคยขับรถสปอร์ตขวางรถพยาบาล ชูนิ้วกลางใส่ และเคยทำปืนตกจากรถอีกด้วย

จี้ตรวจสอบอภิสิทธิ์นี้ได้แต่ใดมา กำเริบเหยียดคนท้องถิ่น

ฝรั่งแตะหมอกำลังบานปลาย สิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องจะค่อยๆ ปรากฏออกมาเหมือนสุภาษิต “น้ำลดตอผุด” พร้อมกับการตั้งคำถามชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย จะทำอะไรก็ได้ หากมีเงินก็สามารถซื้อความสะดวกได้ทุกอย่างจริงหรือ? “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่าประเด็นที่เกิดขึ้นมากกว่าการทำร้ายแพทย์หญิง เรื่องแรกชาวต่างชาติที่ใช้ชีวิตในเมืองไทย ไม่ว่าภูเก็ต หรือพัทยา ทำไมมีพฤติกรรมก้าวร้าวกับคนไทย ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และชาวต่างชาติรายนี้อาจเคยทำร้ายคนอื่น ไม่ใช่เฉพาะแพทย์หญิง ถ้าถามจากคนในชุมชน ก็น่าจะรู้

...

เรื่องที่สอง ไม่ทราบว่าชายต่างชาติคนนี้ทำธุรกิจอะไร มีการแอบอ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ควรจะต้องตรวจสอบว่ามีการช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างไร และเมื่อเกิดเหตุก็มีตำรวจสายตรวจเข้ามาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ก็ต้องตรวจสอบว่ารู้จักตำรวจจริงหรือไม่ และทำไมไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรก นอกจากนี้ควรมีการตรวจสอบว่าพูลวิวล่ารุกล้ำพื้นที่สาธารณะหรือไม่  หรือมีแค่เคสเดียว หรือพูลวิลล่าทั้งหมด ซึ่งหน่วยงานใดจะเข้ามาตรวจสอบ ไม่ใช่เกิดเรื่องแล้วเข้ามาตรวจสอบ

“เมื่อประเทศไทยเปิดฟรีวีซ่า ไม่ควรให้นักท่องเที่ยวกระทำผิด หรือถูกกระทำ จนทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์ อย่างกรณีบุกยิงชายชาวต่างชาติจนเสียชีวิต หน้าวิลล่าหรู กลายเป็นว่าเมืองไทย คนไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐ หรืออำนาจรัฐไม่ศักดิ์สิทธิ์ จนคนไม่เกรงกลัว”

ในส่วนประเด็นการตั้งมูลนิธิช้าง ซึ่งจะต้องไม่แสวงกำไร จะต้องมีการตรวจสอบบัญชี มีการรับบริจาคหรือไม่ เชื่อว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องตรวจสอบ รวมถึงประเด็นภาษีได้เสียอย่างถูกต้องหรือไม่ และการที่คนในโซเชียล บอกว่าชายชาวต่างชาติรายนี้ ขับรถหรูขวางรถพยาบาล แล้วชี้นิ้วกลางก็ต้องตรวจสอบเช่นกัน เพราะขนาดคนไทยไปอยู่เมืองนอกก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้ถูกต้อง

...

ส่วนการใช้คำเหยียด ว่าเป็นคนท้องถิ่น ถือว่าดูถูกคนไทย และแม้เป็นพื้นที่ส่วนตัว ก็ไม่ควรทำเช่นนั้น แต่เมื่อรู้ว่าเป็นแพทย์ก็ออกมาขอโทษ แม้การขอโทษจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรกระทำ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นแพทย์ หรือเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้น

พัทยา-ภูเก็ต แหล่งมาเฟียต่างชาติ ก.ม.ไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์

จากงานวิจัยระบุว่าพื้นที่พัทยาและภูเก็ต มักมีปัญหาเรื่องมาเฟียต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินในเรื่องยาเสพติดของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นต่างชาติมักเล็ดลอดเข้ามา แล้วทำอาชีพอื่นบังหน้า ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากตำรวจมีการแต่งตั้งมาจากส่วนกลาง และดูเหมือนไม่ได้รับฟังคนในพื้นที่สะท้อนปัญหา จากกรณีคนต่างชาติมาสร้างปัญหาในพื้นที่ ทั้งที่ประเทศไทยเปิดฟรีวีซ่า เปิดการท่องเที่ยว ก็ต้องควรเป็นพื้นที่มีความปลอดภัย ทั้งคนไทย และต่างชาติ ไม่ควรแก้ปัญหาแบบไฟไหม้ฟาง

ขณะที่ต่างประเทศมีการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นการต่อเติมรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ก็ต้องตรวจสอบ และการจัดตั้งมูลนิธิช้าง มีการรับบริจาคหรือไม่ จะต้องตรวจสอบเรื่องภาษี เส้นทางการเงิน และภรรยาทำงานอะไร หรือมีรายได้จากแหล่งใด เป็นการแก้เชิงระบบ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

...

“อยากเสนอให้เป็นภูเก็ตโมเดล เป็นต้นแบบด้านความปลอดภัย ซึ่งคนไทยทั้งประเทศอยากเห็น และอยากให้นายกรัฐมนตรี ลงมาดูปัญหา ให้เป็นหนึ่งในปัญหาที่จะต้องเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องความปลอดภัย และการสร้างรายได้เข้าประเทศ ตราบใดกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ บ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยมากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมา”

งานวิจัยยังพบว่าการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ยึดโยงคนในพื้นที่ มักจะนำมาซึ่งปัญหาการทุจริต ซึ่งควรทำอย่างประเทศอังกฤษ มีหัวหน้ากรรมาธิการตำรวจ แต่งตั้งมาจากพลเรือนในพื้นที่ เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาในทุกมิติ จากการเก็บข้อมูลในอังกฤษ จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และควรให้ประชาชนทุกระดับ รวมถึงรากหญ้า เข้าร่วมในการสะท้อนปัญหา

ฝรั่งเตะหมอ เหมือนเตะประเทศไทย ดูถูกคนไทย

กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝรั่งเตะหมอ แต่เป็นฝรั่งเตะประเทศของเรา เป็นการดูถูกคนไทย หากอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ถามว่ากล้าเตะคนสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่ เชื่อว่าชาวต่างชาติรายนี้มีพฤติกรรมก้าวร้าวมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยถูกลงโทษจนพฤติกรรมเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายมาเกิดเหตุกับแพทย์หญิง ซึ่งคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด โดยสังคมไทยควรจะเป็นสังคมแห่งการตรวจสอบ ให้เป็นปกติของคนไทย

อย่างพลังโซเชียลในปัจจุบัน ยอมรับมีผลมากๆ หลังจากแพทย์หญิงโพสต์โซเชียลในเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วถูกกระทำ หากไปนั่งที่บันไดแล้วมีการพูดดีๆ ก็คงไม่เป็นไร และไม่ควรมีใครถูกกระทำแบบนี้ ไม่ว่าคนไทยหรือต่างชาติ ถือว่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ กรณีของเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เหมือนกับเคสกำนันนก ทำให้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศเรา ต้องมีการตรวจสอบในทุกมิติ.