20 ธ.ค.นี้ ศาลนัดตัดสินคดี “น้องชมพู่” เสียชีวิตปริศนา ในพื้นที่ป่าไกลจากบ้านพักในบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ขณะที่ “ลุงพล-ป้าแต๋น” มั่นใจน้อมรับคำตัดสินของศาล เป็นคดีมหากาพย์ในความสนใจประชาชน เช่นเดียวกับหลักฐานสำคัญจำนวนมากในคดี
คดีน้องชมพู่ หลังเลื่อนตัดสินมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา วันที่ 20 ธ.ค.นี้ ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดชี้ชะตา “ลุงพล-ป้าแต๋น” คดีฆาตกรรมน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ หายปริศนาไปจากบ้าน ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่เช้าวันที่ 11 พ.ค. 2563 จากนั้นอีก 3 วัน พบศพนอนเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล แม้เป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น แต่ใช้เวลาสืบพยานกว่า 70 ปาก ขณะเดียวกัน ก็เป็นการพิสูจน์ความจริงของ “ลุงพล-ป้าแต๋น” หลังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในคดี
น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เสียชีวิตปริศนา ห่างจากบ้านประมาณ 2 กม. ในสภาพเปลือยกาย พบร่องรอยหนามเกี่ยวตามแขนและขา บริเวณที่เกิดเหตุพบกางเกงผู้เสียชีวิตถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน และรองเท้าหล่นอยู่ระหว่างทางเดิน จากนั้น “ลุงพล” กลายเป็นผู้ต้องสงสัยสู่การสืบพยาน นำมาสู่การตัดสินของศาลชั้นต้น
...
แม้จะเป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น แต่ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์แนวทางก่อนวันตัดสินกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า คดีน้องชมพู่มีการสืบสวนหาหลักฐานในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำสู่การตั้งข้อสังเกต กรณี “ลุงพล-ป้าแต๋น” การพิจารณาของศาล โดยมีการแจ้งดำเนินคดีเกี่ยวกับพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จากบิดามารดา
ต่อมาคือการกระทำการต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่พบศพ มีการแจ้งข้อหาเพิ่ม ซึ่งในข้อสงสัยสามารถตั้งข้อสังเกตได้ แต่การตัดสินโทษของศาลต้องมีข้อมูลปราศจากข้อสงสัย
การหายตัวไปของน้องชมพู่ ช่วงแรกนำสู่การเปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อมวลชน ทำให้เกิดการตามหาและแจ้งเบาะแส ภายหลังพบว่าน้องเสียชีวิต นำสู่การติดตามผู้ต้องสงสัยในคดี โดยเฉพาะ “ลุงพล-ป้าแต๋น”
ขณะเดียวกันคดีนี้ทำให้เห็นช่องโหว่ในการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ แม้มีความสัมพันธ์เป็นญาติ เพราะพื้นที่เกิดเหตุจะต้องมีรอยเท้าของคนร้าย หากมีการกันพื้นที่เกิดเหตุ และให้ผู้เชี่ยวชาญนำรอยเท้าในที่เกิดเหตุมาเปรียบเทียบ ยิ่งการค้นพบเส้นผม หรือเส้นขนในที่เกิดเหตุ สามารถคลี่คลายคดีได้
ความยากของคดีน้องชมพู่ เนื่องจากไม่มีการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ ทำให้หลักฐานคดีถูกปนเปื้อน และพยานหลักฐานบางส่วนถูกทำลายตั้งแต่แรก เมื่อเจอร่างน้องชมพู่ ลุงพลมีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ เมื่อเจอร่างผู้เสียชีวิต ต้องมีการกันสถานที่ให้เข้มงวด เพราะเป็นหลักฐานทางคดีในระดับสากล
“ความยากของคดีน้องชมพู่ เกิดจากหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ มีการปนเปื้อนมาก ไม่มีหลักฐานกล้องวงจรปิดที่มาช่วยคลี่คลายคดี ทำให้เจ้าหน้าที่หาหลักฐาน ต้องหาข้อมูลจากเทคโนโลยีด้านอื่น ทั้งจากสัญญาณโทรศัพท์ การแชต พยานบุคคล มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากพยานอาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง”
การตัดสินของศาล คาดว่าจะมีการอุทธรณ์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่ามีผลทางใดจะมีการต่อสู้ทางคดี ถ้าหากศาลมีคำตัดสินว่า ลุงพล-ป้าแต๋น ไม่มีความผิด จะทำให้เกิดกระแสคนที่เคยชื่นชอบกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง เพราะต้องยอมรับว่าความคิดคนในสังคมแบ่งเป็นสองด้าน
“สิ่งสำคัญอยากให้คนในสังคมไทย มองการสร้างตัวตนของคนบนโลกโซเชียลได้หลายกรณี เช่น เด็กนักเรียนที่ทำดี อยากให้มองว่าการปลูกฝังสิ่งดีงามเหล่านี้ให้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากมีการสร้างตัวตนให้กับบุคคลที่เป็นที่สงสัย มีความเสี่ยงให้เกิดการเลียนแบบ สุดท้ายสังคมจะบิดเบี้ยว เกิดความไม่สงบ”
...
คดีนี้เป็นบทเรียนที่ย้ำเตือนว่า พ่อแม่ไม่ควรปล่อยลูกที่เป็นเด็กเล็ก ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ห่างจากสายตา เช่นเดียวกับความไว้ใจ ไม่ควรให้คนอื่นสนิทสนมกับลูกเกินไป.